ฝ่าวิกฤตสินค้าพรีเมียมซบ พลิกกลยุทธ์ด้วยโมเดล..ชิ้นเดียวก็ทำได้!

TEXT : กองบรรณาธิการ





Main Idea
 
  • ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่น่าจะเป็นนาทีทองของ “ธุรกิจสินค้าพรีเมียม” แต่วันนี้ด้วยสภาพเศรษฐกิจ ทำให้องค์กรต่างๆ หันมารัดเข็มขัด ประหยัดงบ สั่งของขวัญของที่ระลึกแจกลูกค้ากันน้อยลง ส่งผลกระทบต่อผู้เล่นในอุตสาหกรรมนี้
 
  • แต่ท่ามกลางเสียงบ่นของผู้ประกอบการส่วนหนึ่ง ยังมีคนทำของพรีเมียมอีกกลุ่มที่ยังคงมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญธุรกิจของพวกเขาไม่ได้พึ่งพาแค่ช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ยังขายได้ตลอดทั้งปี พวกเขาจะใช้วิธีไหนนั้นไปหาคำตอบกัน



            
     เขาว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่ดี ใครๆ ก็อยากรัดเข็มขัด เลยทำให้องค์กรห้างร้านต่างๆ หันมาประหยัดงบ สั่งของขวัญของที่ระลึกแจกลูกค้ากันน้อยลง ทำให้ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่น่าจะเป็นนาทีทองของ “ธุรกิจสินค้าพรีเมียม” กลับกลายเป็นเสียงโอดโอยของผู้ประกอบการเข้ามาแทนที่ หลายเสียงบ่นถึงขนาดที่ว่าปีนี้เป็นปีวัดใจว่าจะอยู่หรือจะไปต่อในธุรกิจนี้


     แต่ทว่าท่ามกลางเสียงบ่นของผู้ประกอบการส่วนหนึ่ง ยังมีคนทำของพรีเมียมอีกกลุ่มที่ยังคงมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญธุรกิจของพวกเขาไม่ได้พึ่งพาแค่ช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ยังขายได้ตลอดทั้งปี พวกเขาจะใช้วิธีไหน ไปหาคำตอบกับ “กิตติภูมิ อนุตรภิญโญวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทัช ปรินท์ติ้ง รีพับลิค จำกัด (Touch Printing Republic) หนึ่งในผู้ผลิตสินค้าพรีเมียมด้วยระบบ Digital Printing ครบวงจร ที่กำลังเนื้อหอมสุดๆ
 
     


          
     พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน สั่งน้อย เน้นคุ้ม ไม่ชอบซ้ำใคร


     ทำไมตลาดสินค้าพรีเมียมที่เคยเติบโตอย่างหอมหวานเมื่อหลายปีก่อน วันนี้ถึงได้มียอดขายตกลงทุกปี ทั้งที่องค์กรต่างๆ ก็ยังคงมีลูกค้าให้ดูแล และการมอบของขวัญให้กันช่วงเทศกาลก็ยังเป็นประเพณีที่มีอยู่ กิตติภูมิ บอกเราว่า  ความต้องการสินค้าพรีเมียมในตลาดยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าพฤติกรรมการสั่งซื้อของลูกค้าวันนี้เปลี่ยนไป โดยองค์กรต่างๆ เริ่มลดจำนวนการสั่งซื้อลง จากที่เน้นปริมาณมากๆ ก็หันมาซื้อเท่าที่จำเป็น ใช้เงินอย่างจำกัดและเน้นความคุ้มค่ามากขึ้น รวมถึงลูกค้ายุคนี้ต้องการสินค้าที่มีความยูนีค เป็นเอกลักษณ์มากขึ้น ไม่ชอบของพื้นๆ ที่เห็นได้ทั่วๆ ไป ขณะที่โรงงานขนาดใหญ่ที่รับจ้างผลิตของพรีเมี่ยมในปริมาณมากๆ ก็จะเกิดการแข่งขันด้านราคากันมากขึ้น ผู้ประกอบการที่ยังทำแบบเดิมๆ ก็จะอยู่กันยากมากขึ้นในยุคนี้


     “อย่างสินค้าพรีเมียมในกลุ่มที่เป็นพวกงานพิมพ์แบบอะนาล็อกยังไม่เป็นดิจิทัล พวกนี้เขาต้องทำตัวต้นแบบ ต้องมีบล็อกขึ้นมาก่อน ซึ่งจะทำได้คุ้มก็ต้องสั่งในปริมาณเยอะๆ เน้นงานแมส อย่างผ้าเขาต้องขึ้นงานทีละหมื่นหลา ถ้าน้อยกว่านั้นก็ถือว่าไม่คุ้ม ฉะนั้นออเดอร์เล็กๆ โรงงานพวกนี้ก็จะไม่รับทำ แต่กลุ่มนี้เขาทำในปริมาณที่เยอะก็จริง แต่ก็แข่งขันเรื่องราคาสูงด้วย มาร์จิ้นจึงไม่ค่อยเยอะเท่าไร พอตลาดเปลี่ยน รายที่ยังไม่ปรับตัวจึงได้รับผลกระทบตามไปด้วย” กิตติภูมิบอกสถานการณ์ในตลาดของพรีเมียม





     วิกฤตคือโอกาส แจ้งเกิดธุรกิจใหม่ของพรีเมียม...ชิ้นเดียวก็ทำได้



     ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนโลกธุรกิจงานพิมพ์ ระบบ Digital Printing เข้ามาทลายข้อจำกัดของการพิมพ์รูปแบบเก่า ที่ต้องเน้นปริมาณมากๆ ความหลากหลายมีน้อย มาเป็นการทำจำนวนน้อยชิ้นได้ สามารถคัสโตไมซ์ให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลได้ มีความหลากหลายมากขึ้น และทำได้ในเวลารวดเร็ว


     “บางคนเขาอาจอยากได้ของแค่หลักสิบหลักร้อยชิ้น แต่พอไปโรงงานเขาก็ไม่รับทำ ผมมองว่ากลุ่มนี้มีจำนวนอยู่เยอะพอสมควรเลย และทำแบบนี้มาร์จิ้นก็ดีกว่าด้วย ไม่ต้องแข่งขันกันมาก เพราะรายใหญ่ไม่ทำ เราจึงขยายจากธุรกิจจำหน่ายเครื่องพิมพ์ มาเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้า สิ่งทอ เครื่องหนัง และสินค้าพรีเมียม ด้วยระบบ Digital Printing ครบวงจร เมื่อประมาณ 4 ปีก่อน โดยทำพวกเสื้อ กระเป๋าผ้า ผ้าพันคอ หมอน และอื่นๆ มีลูกค้าที่เป็นทั้งองค์กรห้างร้านขนาดเล็ก องค์กรขนาดใหญ่ และกลุ่มดีไซเนอร์ที่มีผลงานแต่ไม่รู้จะไปสั่งทำที่ไหนเพราะอาจจะยังไม่อยากสั่งจำนวนมากๆ ซึ่งกลายเป็นว่าธุรกิจเราสามารถตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้ และเติบโตได้ค่อนข้างดีตลอด 4 ปีที่ผ่านมา” เขาบอก


     จากของที่ต้องสั่งกันหลักหมื่นหลักพัน แต่วันนี้ด้วยเทคโนโลยี Digital Printing ทำให้พวกเขาสามารถให้บริการได้ตั้งแต่หลักสิบ แม้กระทั่งชิ้นเดียวก็สามารถทำได้ ซึ่งถึงจะเป็นแค่ออเดอร์เล็กๆ แต่ก็ทำราคาได้ค่อนข้างดี และยังมีกำไรจากการทำมากกว่าเดิมด้วย
 




ยุคทองของ
Customization เมื่อลูกค้าต่างอยากได้ความพิเศษ


     กิตติภูมิ บอกเราว่า ในวันนี้ลูกค้าเลือกมากขึ้น อยากได้งานที่มีเอกลักษณ์ มีความพิเศษไม่ซ้ำแบบใคร ชอบงานที่สามารถคัสตอมตามความต้องการของตัวเอง และตนเองสามารถมีส่วนร่วมกับงานชิ้นนั้น  ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และเป็นที่นิยมของกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างยิ่ง


     พวกเขาจึงพัฒนาแพลตฟอร์มที่ชื่อ 12tprint.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ลูกค้าสามารถเข้าไปดีไซน์ผลงานได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ในไม่กี่ขั้นตอน เช่น สามารถเข้าไปออกแบบเสื้อ ผ้าพันคอ หมอน ฯลฯ ด้วยไอเดียสร้างสรรค์ของตนเอง แล้วสั่งทำเป็นของที่มีชิ้นเดียวในโลก ซึ่งทำได้ตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป และรับของได้ภายใน 7 ส่วนราคาก็เบาๆ เช่น เสื้อยืด 1 ตัว คิดที่กว่า 200 บาท ส่วนผ้าพันคอคิดที่ผืนละประมาณ 400-500 บาทเป็นต้น
               

     “กลุ่มลูกค้าที่ชอบงานแบบนี้จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ดูอย่างในต่างประเทศที่เทรนด์นี้กำลังมา แต่ในเมืองไทยก่อนหน้านี้ยังไม่ค่อยได้รับการตอบรับเท่าไร เพราะคนไทยเรายังชอบการบริการไม่ค่อยอยากทำเอง แต่คนรุ่นใหม่เริ่มที่จะเข้าใจมากขึ้น และต้องการความเป็นยูนีค ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งส่วนมากลูกค้าเราตอนนี้จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และวัยรุ่น ผมมองว่าตลาดนี้ยังเป็นโอกาสของธุรกิจเราในอนาคต”
           




     ในวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เมื่อให้ฝากข้อแนะนำถึง SME เขาบอกว่า


     “ธุรกิจต้องปรับตัว โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกอบการรายกลางถึงรายย่อย เราก็ต้องปรับตัวให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เช่น พอมีดิจิทัลเข้ามาเราก็ต้องย้ายไปสู่น่านน้ำ ไปสู่ทะเลใหม่ที่สามารถทำให้เราเคลื่อนไหวไปได้เร็วกว่าแต่ก่อน ผมว่าทุกธุรกิจต้องปรับตัว และใช้ประโยชน์จากความเป็นดิจิทัล ทำให้รายเล็กมียอดขายและมีผลตอบแทนในธุรกิจได้มากขึ้น”
               

     ท่ามกลางวิกฤตในอุตสาหกรรมต่างๆ ยังมีช่องว่างแห่งโอกาสให้เสมอ ถ้าเพียงผู้ประกอบการรู้จักสังเกต คิด วิเคราะห์ และปรับตัวเองเพื่อรับมือกับโอกาสนั้นได้อย่างทันท่วงที เหมือนที่ผู้เล่นในตลาดสินค้าพรีเมียมพบทางออกของพวกเขาในวันนี้
 
 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: MARKETING

วิกฤตสูงวัย เด็กเกิดใหม่น้อย กรณีศึกษาธุรกิจญี่ปุ่น ปรับตัวผลิตสินค้าผู้ใหญ่แทนสินค้าเด็ก

Oji Holdings ผู้ผลิตผ้าอ้อมในญี่ปุ่นประกาศยุติผลิตผ้าอ้อมเด็ก หันไปเพิ่มปริมาณการผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แทน สาเหตุมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงและจำนวนประชากรสูงวัยของญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้น

โอกาสโกอินเตอร์ของแบรนด์ไทย ทำงานกับนักธุรกิจระดับโลก งาน Gifts & Premium Fair ฮ่องกง

ฮ่องกงขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีการจัดงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง และหนึ่งในนั้นคืองานแสดงสินค้าของขวัญและของพรีเมียมภายใต้ชื่อ Hong Kong Gifts & Premium Fair ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27-30 เมษายน 2024