ปลดล็อกปัญหา! กับ “5 เครื่องมือสำคัญในการบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จ”




Main Idea
 
  • หนังสือ “5 เครื่องมือสำคัญในการบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จ” จะสอนวิธีการบริหารจัดการปัญหาเฉพาะหน้าให้กับร้านค้าต่างๆ เอาไปประยุกต์ใช้ในแบบของตัวเอง ตั้งแต่การดูต้นทุนให้ออก รับมือกับลูกน้องที่คุมยาก หรือการทำให้ทีมที่ชอบทะเลาะกันหันมาจับมือสามัคคีกัน ต่อให้ไม่ใช่เจ้าของร้านอาหาร หรือไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารก็อ่านได้
 
  • ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ คนอาจเลือกที่จะขึ้นราคาเพื่อให้เกิดรายรับหรือกำไรที่เพิ่มขึ้นทดแทนส่วนที่ขาดหายไป แต่การขึ้นราคาแบบไม่คิดอาจทำให้ธุรกิจเจ๊งได้ และสาเหตุที่ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลง  ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ ไม่ใช่เพราะคู่แข่งมากมาย แต่เป็นเพราะธุรกิจเหล่านั้นอยู่กับความเคยชินมากเกินไป จนไม่สามารถปรับตัวตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาได้





      ชื่อเรื่อง : 5 เครื่องมือสำคัญในการบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จ


      ผู้เขียน : Akira Harada ภาพ : Morihiko Ishikawa


      สำนักพิมพ์ : Comm Bangkok




     สรุปหนังสือ “5 เครื่องมือสำคัญในการบริหารร้านให้ประสบความสำเร็จ”
 


      ที่ว่าด้วยการจัดการร้านอาหารเล่มนี้ เมื่ออ่านจบผมพบว่า ต่อให้ไม่ใช่เจ้าของร้านอาหาร หรือไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารโดยตรงก็ควรอ่าน เพราะหนังสือเล่มนี้สอนวิธีการบริหารจัดการปัญหาเฉพาะหน้าให้กับร้านค้าต่างๆ เอาไปประยุกต์ใช้ในแบบของตัวเองได้ ตั้งแต่การดูต้นทุนให้ออก การรับมือกับลูกน้องที่คุมยาก หรือการทำให้ทีมจากที่ชอบทะเลาะกันหันมาจับมือสามัคคีกัน
               


      ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับทุกคน มั่นใจว่าไม่ว่าใครอ่านก็ต้องสนุกและเข้าใจตามได้ไม่ยาก ที่สำคัญหนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องด้วยภาพ หรือเป็นการ์ตูน ดังนั้นยิ่งอ่านไปก็ยิ่งสนุก และเนื้อหาแต่ละตอนก็สั้นๆ ไม่ยืดยาวย้วยแต่อย่างไร เริ่มต้นที่ปัญหาของร้านอาหารแห่งหนึ่ง จากนั้นพระเอกที่ชื่อว่า “มาสะ” ก็จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาของแต่ละร้านอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ จนสามารถทำให้ปัญหานั้นทุเลาด้วยดีได้ในท้ายที่สุด
               


     แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแฮปปี้เอนดิ้งทุกเคสเสมอไป จะมีบางเคสที่เจ้าของร้านหรือผู้จัดการดื้อแพ่งไม่ยอมทำตาม สุดท้ายก็ต้องปิดกิจการของตัวเองไปในที่สุด
               


      ผมขอหยิบเนื้อหาบางส่วนในเล่มมาสรุปให้ฟังกัน โดยเป็นปัญหาที่ไม่ต้องเป็นร้านอาหารก็พบเจอได้ทั่วไปแม้แต่ในออฟฟิศสำนักงานก็ตาม
               


     อย่างการทะเลาะเบาะแว้งกันของพนักงานในบางครั้งก็อาจมาจากการไม่แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน เหมือนร้านอาหารหนึ่งในเรื่องที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสามีภรรยา ที่ไม่ยอมแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ขาด ทำให้เกิดปัญหาวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา จนถึงขั้นเหน็บแนมและด่ากันให้ลูกค้าคนนอกได้ยินในที่สุด
               


     ซึ่งปัญหานี้แก้ได้ด้วยการแบ่งหน้าที่กันให้ชัดเจน คนหนึ่งรับผิดชอบในครัว คนหนึ่งรับผิดชอบหน้าร้าน แล้วตกลงกันว่าแต่ละฝ่ายจะไม่ไปก้าวก่ายพื้นที่ความรับผิดชอบของอีกฝ่ายโดยเด็ดขาด แน่นอนว่าไม่มีใครทำอะไรได้ถูกใจเรา 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็อย่าลืมว่าเราเองก็ไม่มีทางทำถูกใจอีกฝ่าย 100 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน
               


      ดังนั้นทางแก้คือ ถ้าเราเชื่อว่าแต่ละคนทำงานด้วยใจที่มุ่งมั่นว่าอยากให้ผลลัพธ์ออกมาดี ก็ต้องทั้งวางใจ ไว้ใจ และให้เกียรติอีกฝ่ายในการรับผิดชอบเนื้องานของตัวเองให้เต็มที่
               


     แล้วถ้าปัญหาการทะเลาะกันของพนักงานมาจากการที่แต่ละฝ่ายว่างเกินไป หรือเพราะได้รับมอบหมายงานที่ง่ายเกินไป จนทำให้มีเวลาว่างมากพอที่จะไปพูดจาแดกดันกัน สิ่งที่หัวหน้าต้องทำก็คือการมอบหมายงานใหม่ๆ ที่ยากขึ้น เพื่อให้แต่ละฝ่ายไม่มีเวลาว่างที่จะเปิดศึกกัน แถมถ้าต้องทำงานต่อเนื่องกันก็จะยิ่งเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาโดยอัตโนมัติ (ถ้าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลวร้ายเกินไปนะ) จนในที่สุดจากความไม่ถูกกันก็จะพลอยทำให้กลายเป็นเพื่อนซี้กันไปในที่สุด
               


     มนุษย์เรานี่ก็แปลก พอไม่มีศัตรูก็หันมาทำลายกันเอง ดังนั้นหัวหน้าที่ฉลาดต้องมอบหมายศัตรูร่วมให้ช่วยกันทำลายขึ้นมา
               


     แล้วถ้าพนักงานขาดความกระตือรือร้นล่ะ จะแก้อย่างไร?
               


     เรื่องนี้ไม่ยากขอแค่หัวหน้างานต้องเข้าใจว่าลูกน้องแต่ละคนมีฝันอะไรในชีวิต  เมื่อเราเข้าใจฝันของลูกน้องแล้ว เราก็สามารถใช้ฝันนั้นมาเป็นเป้าหมายให้แต่ละคนอยากทำงานให้ดีขึ้นเพื่อตัวเองได้ เช่น ถ้าลูกน้องมีฝันว่าอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็ต้องบอกเขาว่า ให้เรียนรู้ปัญหาในวันนี้ เพื่อที่วันหน้าเปิดธุรกิจของตัวเองแล้วจะได้มีบทเรียนไปใช้
               


      หรือถ้าบางคนมีฝันว่าอยากจะไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง ก็กระตุ้นให้เขาทำงานให้ดีขึ้นเพื่อให้ผลงานโดดเด่นจนส่งผลต่อโบนัส หรือหาทางส่งให้เขาได้ไปดูงานต่างประเทศถ้าเขาสามารถทำงานถึงเป้าหมายได้
               


      สรุปคือเราใช้ฝันของเขาเป็นตัวกระตุ้นให้เขาอยากทำเพื่อตัวเขาเอง ไม่ต้องทำเพื่อบริษัท ไม่ต้องทำเพื่อหัวหน้าอย่างเราครับ
               


      หรือการส่งลูกน้องออกไปดูงานข้างนอกก็สำคัญ หาโอกาสให้เขาออกไปสำรวจตลาด ออกไปดูคู่แข่งบ้าง ไม่ใช่เอาแต่คุดคู้อยู่ในร้านหรืออยู่แต่ในสำนักงาน แล้วให้เขาเอากลับมาเล่าให้ทีมที่ทำงานฟัง เป็นการแบ่งปันความรู้ที่ดีด้วย
               


      เรื่องการจัดการทีมหรือลูกน้องผ่านไป ก็มาสู่ประเด็นเรื่อง การบริหารจัดการนอกเหนือจากคนกันบ้าง
               


     อย่างในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หลายคนอาจเลือกที่จะขึ้นราคาสินค้าหรือบริการเพื่อให้เกิดรายรับหรือกำไรที่เพิ่มขึ้นตามส่วนที่ขาดหายไป การขึ้นราคาไม่ใช่เรื่องผิด แต่การขึ้นราคาแบบไม่คิดอาจทำให้ธุรกิจเจ๊งได้ไม่ยาก
               


       อย่างร้านอาหารถ้าปกติคิดจานละ 100 บาท แต่ครั้นจะขึ้นเป็น 130 ทันทีคงลำบาก ถ้ายังให้อาหารในปริมาณที่เท่าเดิม สิ่งที่ธุรกิจควรทำคือขายเพิ่มเพื่อให้คนซื้อเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าจานเดียวยังคงราคา 100 บาทเท่าเดิม แต่เพิ่มการขายเป็นเซ็ตพร้อมน้ำดื่ม หรือของกินเล่นควบคู่มาก็สามารถขึ้นราคาเป็น 130-150 บาท ได้ไม่ยากครับ
               


      เพราะลูกค้าจะไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจ่ายมากขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่จ่ายมากขึ้นเพื่อความคุ้มค่าที่มากกว่านั่นเอง



        และหลายร้านอาหารรวมถึงธุรกิจมักเข้าใจผิดว่าการทำอาหารหรือผลงานให้ออกมาเร็วจะทำให้ตัวเองได้เปรียบคู่แข่ง เพราะสามารถทำชิ้นงานได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม แต่ความเป็นจริงแล้วก่อนจะเร็วได้คุณภาพต้องดีก่อน เพราะถ้าคุณทำเร็วไปแต่ไม่มีคุณภาพ ลูกค้าก็เบือนหน้าหนีอยู่ดี
               


      แต่ถ้าเมื่อไหร่คุมคุณภาพได้ดีตลอดแล้ว ค่อยหันกลับมาพัฒนาเรื่องความเร็ว ว่าจะเร็วอย่างไรโดยไม่ให้คุณภาพตกไป เมื่อนั้นแหละความเร็วถึงจะปรากฏความได้เปรียบที่ชัดเจน
               


      แล้วการจะประหยัดค่าใช้จ่ายก็เป็นเรื่องดีสำหรับธุรกิจ แต่อย่าประหยัดจนหน้ามืดตามัวไปเสียทุกอย่าง จนสุดท้ายส่งผลกระทบต่อคุณภาพที่จะส่งต่อถึงลูกค้าเข้าเชียวนะครับ เพราะจะกลายเป็นการอดอาหารจนหมดแรงเอา
               


     เรียกได้ว่าต้องประหยัดให้ฉลาด อะไรที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ก็ประหยัด แต่ก็ต้องไม่ลืมการลงทุนเพื่อเรียกให้เกิดรายได้ใหม่ๆ เข้ามาเหมือนกันนะครับ
               


      ที่สำคัญธุรกิจคุณต้องมีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน ถ้าเป็นร้านอาหารก็ต้องเลือกว่าจะเป็นร้านสบายๆ หรือหรูหรา เพราะมันไม่มีหรอกครับร้านหรูหราที่ดูสบายๆ เหมือนอยากกินเผ็ดในรสหวาน จะซ้ายหรือขวาคุณต้องเลือกให้ชัด เรื่องนี้ก็เหมือนกับการสร้างแบรนด์ ที่แก่นหลักของการสร้างแบรนด์คือ 1 Brand stand for 1 thing
               


      ไม่มีหรอกครับหนึ่งแบรนด์ที่สามารถเป็นได้ทุกสิ่งเพื่อทุกคน แบรนด์แบบนั้นไม่เคยอยู่รอดได้นานพอหรือใหญ่ได้มากพอที่จะให้คนอื่นอยากเลียนแบบได้
               


      ธุรกิจคุณจะขายใคร ขายยังไง ขายแบบไหน นั่นแหละครับการสร้างแบรนด์หรือการเลือกคาแร็กเตอร์ให้ชัดเจน การเลือกที่จะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นหมายความว่า คุณจะต้องทิ้งอีกหลายสิ่งที่คุณเลือกจะไม่เป็นไปพร้อมกัน
               


      ทำตัวเองให้ชัด แล้วกลุ่มคนที่คิดเหมือนกันจะเดินเข้ามา จากนั้นเขาจะอยู่กับคุณนานพอจนเป็นลูกค้าประจำไหมก็ขึ้นอยู่กับความเป็นตัวคุณเองแล้วล่ะครับ
               


      ข้อคิดสุดท้ายที่ผมขอเลือกมาปิดสรุปหนังสือสุดยอดกลยุทธ์จัดการร้านอาหารเล่มนี้คือ สาเหตุที่ร้านอาหารหรือธุรกิจส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลงไป ไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ ไม่ใช่เพราะคู่แข่งมากมาย แต่เป็นเพราะธุรกิจเหล่านั้นอยู่กับความเคยชินมากเกินไป เคยชินจนไม่สามารถปรับตัวได้ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
               


      สมัยก่อนเราไม่มีโทรศัพท์มือถือ วันนี้ไม่มีใครใช้โทรศัพท์บ้านอีกต่อไป สมัยก่อนจะโทรคุยกันทีคิดเป็นนาที สมัยนี้เฟซไทม์แบบเห็นหน้ากันเป็นชั่วโมงแถมข้ามประเทศก็ยังได้ เห็นไหมครับนี่เป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในตัวเราเท่านั้น แล้วคิดว่าลูกค้าและกฎกติกาในการแข่งขันของธุรกิจจะไม่เปลี่ยนไปได้เชียวหรือ
               


      ออกไปดูโลกกว้างให้บ่อย มองย้อนกลับมาสำรวจตัวเองอยู่เสมอ และจงละทิ้งความเคยชินเดิมๆ ที่มี แล้วธุรกิจคุณจะอยู่รอดปลอดภัยและเติบใหญ่ได้ในทุกยุคสมัยไปอีกนานครับ
 
 








www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี


 

RECCOMMEND: MARKETING

วิกฤตสูงวัย เด็กเกิดใหม่น้อย กรณีศึกษาธุรกิจญี่ปุ่น ปรับตัวผลิตสินค้าผู้ใหญ่แทนสินค้าเด็ก

Oji Holdings ผู้ผลิตผ้าอ้อมในญี่ปุ่นประกาศยุติผลิตผ้าอ้อมเด็ก หันไปเพิ่มปริมาณการผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แทน สาเหตุมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงและจำนวนประชากรสูงวัยของญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้น

โอกาสโกอินเตอร์ของแบรนด์ไทย ทำงานกับนักธุรกิจระดับโลก งาน Gifts & Premium Fair ฮ่องกง

ฮ่องกงขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีการจัดงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง และหนึ่งในนั้นคืองานแสดงสินค้าของขวัญและของพรีเมียมภายใต้ชื่อ Hong Kong Gifts & Premium Fair ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27-30 เมษายน 2024