พลังสี พลังแห่งแบรนด์

 
 


    สี นั้น คือดวงตาของผลิตภัณฑ์ที่จะถ่ายทอดภาพลักษณ์และอารมณ์ของแบรนด์ไปสู่ผู้บริโภค แต่ละเฉดสีจึงสื่อถึงความรู้สึกและความหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้น ในการสร้างแบรนด์ การเลือกใช้โทนสีจึงมีความสำคัญและเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม

    จากผลสำรวจของเอเยนซี่ dezinegirl พบว่า สีสันของสินค้าส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เรื่องสีจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป แบรนด์ใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีการคัดสรรและเลือกใช้สีเพื่อสื่อภาพลักษณ์แบรนด์อย่างรอบคอบโดยสีที่แบรนด์ดังเลือกใช้มากที่สุดคือ “สีฟ้า” 

    เหตุผลที่สีฟ้าถูกเลือกใช้ เพราะเป็นสีที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกเพศ โดยผู้ชายชอบสีฟ้าจำนวน 57 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เพศหญิงเองก็ชอบสีฟ้าไม่แพ้กันโดยมีผู้หญิงชื่นชอบสีฟ้ามากถึง 35 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว 

    ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สีฟ้าไม่ได้เป็นแค่สีที่คนนิยม แต่ยังแฝงความหมายดีๆ คือ เป็นสีที่แสดงพลังด้านปัญญา ความน่าเชื่อถือ และความอ่อนโยน สีที่แบรนด์ดังเลือกใช้มากเป็นลำดับถัดมาคือ สีแดง ซึ่งเป็นสีที่สื่อถึงความกระตือรือร้น ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า และค้ารัก และจากผลสำรวจ 95 เปอร์เซ็นต์ของแบรนด์ดังเลือกใช้สีเพียงสีเดียวหรือสองสีเท่านั้น

    ประกอบการคนไหนเคยมองเรื่องสีเป็นเรื่องเล็กๆ คงต้องรีบเปลี่ยนมุมมองใหม่ เพราะสีที่ใช้จะสามารถส่งพลังของแบรนด์ไปสู่การรับรู้ของผู้บริโภคได้ หากละเลยเรื่องสีอาจส่งผลให้แบรนด์ถูกละเลยด้วยเช่นกัน ถ้าไม่อยากให้แบรนด์ถูกลืม ก็อย่าลืมเลือกสีที่น่าจดจำ


Create by smethailandclub.com
 

RECCOMMEND: MARKETING

4 เทคนิคจิตวิทยาการตลาด พิชิตใจลูกค้า

เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางสินค้าถึงขายดีแบบไม่ต้องลดราคา หรือทำไมโปรโมชั่นบางอย่างทำให้รีบตัดสินใจโดยไม่ทันตั้งตัว? มาล้วงสมองผู้บริโภคกับ 4 เทคนิคจิตวิทยาการตลาด ที่แบรนด์ดังใช้สร้างความอยากได้และแรงกระตุ้นให้ซื้อ

เทรนด์ Emotional Spending โอกาสทองธุรกิจ เมื่อคนลงทุนกับความสุขใจมากขึ้น

เมื่อผู้บริโภคไทยเริ่มให้ความสำคัญกับ ความสุขใจมากกว่าสิ่งจำเป็น การใช้จ่ายเพื่อเติมเต็มชีวิต (Emotional Spending) กำลังกลายเป็น โอกาสทองของธุรกิจ ผู้ประกอบการที่เข้าใจเทรนด์นี้ มีโอกาสสร้างรายได้และความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

Tiny Tattoo: เทรนด์ใหม่ที่สอนให้แบรนด์หรูคิดต่าง สิ่งเล็กๆ กำลังเปลี่ยนเกมตลาด Luxury

รอยสักขนาดจิ๋ว (tiny tattoo) และเส้นบาง (fine-line tattoo) ไม่ใช่แค่ศิลปะ แต่เป็น “การลงทุนด้านรสนิยม” ที่อยู่กับเจ้าของตลอดชีวิต ส่งผลให้จำนวนผู้ทำงานในธุรกิจร้านสักสหรัฐฯ เพิ่มจาก 150,000 เป็น 180,000 (2020–2024)