การตลาดแบบไหนมัดใจคนญี่ปุ่นได้ ส่องกลยุทธ์จาก 5 แบรนด์ดังที่ทำได้สำเร็จ

TEXT : วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์

 

     สำหรับเจ้าของผลิตภัณฑ์และบริการ ในการรุกบางตลาดจนถึงขั้นสามารถยึดหัวหาดได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บริโภคมีความคาดหวังสูง มาตรฐานสูง กฎระเบียบในประเทศก็เคร่งครัด และตลาดมีการแข่งขันสูง เช่น ที่ญี่ปุ่น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้จะยากเย็นแสนเข็นแต่ก็มีหลายแบรนด์ประสบความสำเร็จ สามารถครองใจผู้บริโภคญี่ปุ่นจนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แบรนด์เหล่านั้นมีทั้งแบรนด์จากต่างประเทศ และแบรนด์พื้นเมือง แต่ละแบรนด์ใช้กลยุทธ์อะไร ไปติดตามกัน

     สตาร์บัคส์ เชนร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันที่มีขนาดใหญ่สุดในโลกด้วยจำนวน 33,833 สาขาใน 80 ประเทศ สตาร์บัคส์เริ่มให้บริการในญี่ปุ่นเมื่อปี 1995 และได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการดำเนินกลยุทธ์เพื่อให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภคในท้องถิ่น นอกเหนือจากการปรับรสชาติกาแฟเพื่อให้ถูกลิ้นผู้บริโภค สตาร์บัคส์ยังศึกษาลึกไปถึงวัฒนธรรม “เกนเตะ” ของญี่ปุ่นที่หมายถึง พิเศษ จำกัด หรือที่รู้จักกันว่าเป็น limited edition นั่นเอง

     ด้วยเหตุนี้ ก่อนถึงฤดูกาลใหม่ทุกฤดู สตาร์บัคส์จะแนะนำเครื่องดื่มพิเศษที่มาพร้อมกับแก้วกาแฟ และแก้วรักษาอุณหภูมิที่ออกแบบมาเพื่อฤดูกาลนั้น ๆ โดยเฉพาะ แน่นอนว่าเครื่องดื่มตามฤดูกาล แม้จะเป็นฤดูกาลเดียวกัน แต่รสชาติจะแตกต่างจากปีก่อนหน้าเสมอ ยกตัวอย่าง กาแฟลาเต้ซากุระที่เปิดตัวทุกเดือนกุมภาพันธ์ รสชาติของแต่ละปีก็จะไม่เหมือนกัน รวมถึงดีไซน์ของแก้วกาแฟด้วย

     ที่สำคัญ สตาร์บัคส์ผลิตสินค้าออกมาจำนวนจำกัด ขายหมดแล้วคือหมดเลย ไม่มีผลิตเพิ่ม กลยุทธ์นี้เรียก FOMO หรือ Fear of Missing Out เป็นกลยุทธ์ที่เล่นกับความรู้สึกของผู้บริโภค กระตุ้นให้ยื้อแย่งกันซื้อเพราะกลัวตกกระแส กลัวสินค้าหมด นอกจากนั้น สตาร์บัคส์ยังอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคในการเข้าถึงสินค้าด้วยการผลิตกาแฟ limited edition พร้อมดื่มราคาถูกวางจำหน่ายตามร้านสะดวกซื้ออีกด้วย

     พีแอนด์จี หรือพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิลเป็นบริษัทข้ามชาติผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจากสหรัฐอเมริกา รุกตลาดญี่ปุ่นเมื่อปี 1973 ด้วยการซื้อบริษัทท้องถิ่นที่ดำเนินธุรกิจเครื่องใช้ภายในบ้าน นับแต่นั้นมาเป็นเวลาเกือบ 50 ปี พีแอนด์จีก็ประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นมาตลอดเนื่องเพราะกลยุทธ์การตลาดอันแข็งแกร่ง สินค้าที่ทำให้พีแอนด์จีแจ้งเกิดในญี่ปุ่นคือ Febreze สเปรย์กำจัดกลิ่นบนเสื้อผ้าและในบ้าน

     ที่มาของผลิตภัณฑ์นี้เกิดจากการศึกษาข้อมูลแล้วพบว่าผู้บริโภคญี่ปุ่นนั้นมีความไวต่อกลิ่นและให้ความสำคัญกับกลิ่น พีแอนด์จีจึงผลิตสเปรย์ดับกลิ่น Febreze ซึ่งมาจากคำว่า Fabric (ผ้า) กับ Breathe (หายใจ) แต่ช่วงแรก ๆ ที่เปิดตัวนั้น ไม่ประสบความสำเร็จนักเนื่องจากโฟกัสไปยังกลุ่มนักเรียนนักศึกษาตามหอพัก แต่พีแอนด์จีก็สามารถพลิกกลยุทธ์กลับมาเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นแม่บ้าน พร้อมกับทำแคมเปญ “The Final Touch” เพื่อตอกย้ำว่างานบ้านจะแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อตบท้ายด้วยการฉีดสเปรย์ดับกลิ่น Febreze      

     แม้ระยะหลัง พีแอนด์จีจะเผชิญกับคู่แข่งอย่างคาโอซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตสเปรย์กำจัดกลิ่นออกมาชิงส่วนแบ่งตลาดโดยชูส่วนผสมที่เป็นชาเขียว แต่พีแอนด์จีก็ตอบโต้ทันควัน ผลิต Febreze รุ่นที่ผสมชาเขียวออกมาเช่นกัน เรียกได้ว่าการความไวในการรับมือทุกสถานการณ์ทำให้พีแอนด์จียังคงครองตลาดได้อย่างมั่นคง

     คุมะมง เป็นมาสคอตหมีเพศผู้ สร้างโดยรัฐบาลท้องถิ่นของจังหวัดคูมาโมโตะ บนเกาะคิวชูทางภาคใต้ของญี่ปุ่น เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมกับการเปิดเส้นทางการเดินรถไฟชิงกันเซ็งสายคิวชู ในเดือนมีนาคม ปี 2011 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค จากนั้นไม่นานคุมะมงก็ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว ในปลายปีเดียวกันคุมะมงได้รับการโหวตจากชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศจนได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดตุ๊กตาสัญลักษณ์จากจำนวน 350 ตัวที่แต่ละท้องถิ่นส่งเข้าประกวด

     หลังจากคุมะมงเปิดตัวออกมาแล้ว ได้รับความนิยมอย่างมากโดยมีการสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย สวนทางกับแนวคิดการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และพิทักษ์ซึ่งลิขสิทธิ์ห้ามมิให้ใครละเมิด แต่ทางจังหวัดคูมาโมโตะซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์คุมะมงกลับแจกลิขสิทธิ์ฟรี เปิดโอกาสให้ใครก็ไม่ว่าจะในรูปองค์กร บริษัท หรือส่วนตัวได้นำไปใช้ นำไปผลิตสินค้าเพราะนั่นเท่ากับเป็นการโปรโมทเจ้าหมีสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด ทำให้ผู้คนรู้จักจังหวัดคูมาโมโตะมากขึ้น และคุมะมงก็กลายเป็นแมสคอตที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ที่สำคัญทางจังหวัดยังใจกว้างยอมรับสินค้าที่ผลิตจากทุกภาคส่วนว่าเป็นของแท้ จากการประเมินของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น คุมะมงสร้างรายได้ให้จังหวัดเป็นเงินมากถึง 132,200 ล้านเยนหรือเกือบ 34,000 ล้านบาท

     คิทแคท หนึ่งในขนมเวเฟอร์เคลือบช้อคโกแลตที่ขายดีสุดในโลก ด้วยยอดขายกว่า 17,600 ล้านแท่งต่อปี คิทแคทเป็นแบรนด์ที่กำเนิดในอังกฤษ ต่อมามีการขายกิจการให้เนสเล่ไป แม้ไม่ใช่แบรนด์ท้องถิ่นแต่โด่งดังและได้รับความนิยมในญี่ปุ่นเนื่องจากชื่อเป็นมงคล เพราะชื่อ “คิทแคท” ไปพ้องกับคำว่า “คิทโตะ คัทซึ” ในภาษาญี่ปุ่นอันหมายถึง “คุณต้องชนะแน่นอน” 

     ดังนั้น ในช่วงฤดูกาลสอบปลายภาคของนักเรียน นักศึกษา คิทแคทจะแนะนำผลิตภัณฑ์เวอร์ชั่นมอบกำลังใจโดยพิมพ์ข้อความต่าง ๆ ลงไป เช่น “คุณทำได้” “ขอให้ฝันเป็นจริง” หรือ “จงเชื่อมั่นในตัวเอง” ทำให้กลายเป็นสินค้ายอดฮิตที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ และเพื่อน ๆ จะซื้อมอบแก่นักเรียน นักศึกษาที่กำลังจะเข้าห้องสอบ

     นอกจากคนญี่ปุ่นจะชื่นชอบ คิทแคทยังเป็นของฝากยอดนิยมสำหรับคนที่เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นเนื่องเพราะรสชาติที่มีให้เลือกหลากหลายมากกว่าทุกประเทศ รวมแล้วมากกว่า 300 รสชาติ คิทแคทดำเนินกลยุทธ์คล้ายสตาร์บัคส์คือแนะนำรสชาติใหม่ ๆ ทุกฤดูกาล แต่นอกเหนือไปกว่านั้นคือการทำความเข้าใจความเป็นญี่ปุ่นว่าคนญี่ปุ่นในแต่ละพื้นที่จะมีความภูมิใจในถิ่นของตน คิทแคทจึงนำจุดเด่นของแต่ละจังหวัดมาผลิตเป็นคิทแคทรสต่าง ๆ กลายเป็นสินค้าประจำของแต่ละจังหวัดที่หาซื้อจากที่อื่นไม่ได้ นอกจากรสชาติแปลกใหม่จึงกลายเป็นสอดแทรกความพิเศษไม่เหมือนใครลงไปด้วย

     กูลิโกะ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เก่าแก่ในตำนานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จากจุดเริ่มต้นที่ริอิจิ

     เอซากิ เจ้าของบริษัทค้นพบว่ามีสารไกลโคเจนจำนวนมากในน้ำต้มหอยนางรม นำไปสู่การผลิต “กูลิโกะ คาราเมล” ลูกอมให้พลังงานซึ่งเป็นสินค้าแรกของบริษัท ก่อนขยายไปยังผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ แต่ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักมากที่สุดเห็นจะเป็นแครกเกอร์แท่งเคลือบรสต่าง ๆ ที่วางจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก

     แต่กว่าจะมาเป็นขนมแท่ง ๆ กูลิโกะนั้นก็ผ่านการวิจัยตลาดและลองผิด ลองถูกมานับไม่ถ้วน จนกระทั่งมาลงตัวที่ขนมที่มีดีไซน์เป็นแท่งเล็ก ๆ ซึ่งรับประทานง่าย แม้จะเป็นแบรนด์ที่มีอายุถึง 100 ปี แต่สิ่งที่ทำให้ความนิยมในกูลิโกะไม่แผ่วลงเป็นเพราะกลยุทธ์การตลาดที่ขยันงัดออกมาใช้

     หนึ่งในนั้น เป็นแคมเปญที่ดึงพันธมิตรอย่างบริษัทคิริน ผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ของประเทศมาร่วมผ่านการดีไซน์บรรจุภัณฑ์เก๋ ๆ โดนใจ ยกตัวอย่างการออกแบบที่มีลูกเล่นบนขวดเครื่องดื่มคิรินที่พิมพ์รูปหญิงสาว ขณะที่บนกล่องกูลิโกะรสเลม่อนมีรูปชายหนุ่ม ขวดน้ำและกล่องขนมมาวางชิดกันจะเห็นเป็นภาพชายหนุ่มกับหญิงสาวกำลังทำท่าจุมพิตกัน กลยุทธ์นี้กระตุ้นยอดขายให้ทั้งสองบริษัทเพราะผู้บริโภคโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวมักจะซื้อน้ำคู่กับขนมเพื่อนำมาถ่ายรูปลงโซเชี่ยลมีเดีย   

ที่มา : https://www.d8aspring.com/eye-on-asia/5-marketing-success-stories-in-japan

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

 

RECCOMMEND: MARKETING

มิติใหม่แห่งการย้อมสีผม ใช้ “ใบตอง” แทนฟอยล์ ลดต้นทุน ลดโลกร้อนง่ายๆ แบบ 2 in 1  

ปกติเวลาที่พูดถึงใบตองสด ภาพแรกๆ ที่เด้งขึ้นมาในหัวของเรา ไม่ใช้ห่อขนมไทย ก็คงนึกถึงเทศกาลลอยกระทง แต่วันนี้น้องใบกล้วยสีเขียวคุ้นตานั้นมาในลุคที่เดิร์นกว่าคือ “ใช้ห่อผมเวลาทำสี” แทนฟอยล์กันแล้ว

เคสยาดม ชวนหิว ไอเดียทำเงิน จากไอเทมฮิต ว้าว! จนอยากหยิบมาใช้

พบไอเดียสุดเก๋ “เคสยาดม ฉบับคนหิว” ที่นำเอาเมนูสรีทฟู้ดแบบไทยๆ รวมถึงอาหารฟาสฟู้ดมาปั้นด้วยดินไทย ทำเป็นเมนูต่างๆ อาทิ ผัดไท, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยว, มาม่า ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอร์เกอร์, ถังไก่ KFC

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น