Exponential Growth Pattern เคล็ดลับปั้นธุรกิจโต 10 เท่า

TEXT : ภัทร เถื่อนศิริ

Main Idea

  • วันนี้ผมอยากชวนคุยเรื่อง “ความลับสวรรค์ของธุรกิจ“ ที่ไม่มีใครบอกคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก

 

  • โดยบอกว่า คนที่เข้าใจมัน จะหาเงินจากมันได้ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจมันจนกลายเป็นมหาเศรษฐีได้ จะต้องจ่ายเงินให้กับมัน ว่าง่ายๆ คือผลกระทบของเรื่องนี้มีทั้งทางบวกและทางลบต้องเข้าใจและควบคุมให้ดี

 

  • ต่อไปนี้คือ แนวทางการสร้าง Exponential Growth Pattern มีอะไรบ้าง แต่ละแนวทางมีข้อดีข้อเสียอย่างไร

 

  • รวมทั้งขั้นตอนการสร้างโมเดลธุรกิจแบบทวีคูณเพื่อให้เติบโต 10 เท่า

 

     เริ่มต้นกับการทำความรู้จักเกี่ยวกับ Keyword ของเรื่องเหล่านี้ก่อนครับ...

     รูปแบบการเติบโตแบบทวีคูณ Exponential Growth Pattern : ในมุมมองทางธุรกิจ หมายถึง สถานการณ์ที่บริษัทประสบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องในด้านรายได้ ฐานลูกค้า ส่วนแบ่งตลาด หรือเมตริกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การเติบโตนี้มักมีลักษณะเป็นผลทบต้น ซึ่งอัตราการเติบโตจะเร่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ธุรกิจที่มีรูปแบบการเติบโตแบบทวีคูณมักจะประสบกับวิถีการเติบโตที่เหนือกว่าการเติบโตเชิงเส้น และอาจนำไปสู่ความสำเร็จที่สำคัญและการครอบงำตลาด

     ลองนึกภาพว่าคุณเริ่มต้นธุรกิจเทคโนโลยีขนาดเล็กด้วยผลิตภัณฑ์หรือบริการที่แปลกใหม่ ในช่วงแรก สิ่งต่างๆ อาจจะเป็นไปอย่างช้าๆ และคุณกำลังพยายามที่จะได้รับแรงผลักดันในตลาด แต่เมื่อข่าวเกี่ยวกับนวัตกรรมของคุณแพร่กระจายออกไป และลูกค้าเริ่มตระหนักถึงคุณค่าของนวัตกรรม สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น

     เมื่อลูกค้าพึงพอใจแต่ละราย ผลิตภัณฑ์ของคุณจะถูกมองเห็นมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ลูกค้าจำนวนมากขึ้น กระแสตอบรับเชิงบวกนี้สร้างเอฟเฟกต์สโนว์บอล (Snowball Effect) คือการกระทำที่ส่งผลทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ กระตุ้นการเติบโตแบบทวีคูณ ทั้งฐานลูกค้า และรายได้ของคุณก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนแห่กันไปร่วมลงทุนกับคุณ แม้แต่สื่อก็พูดถึงรูปแบบธุรกิจที่พลิกโฉมธุรกิจของคุณ เป็นวังวนแห่งความสำเร็จ!

     ในขณะที่ธุรกิจของคุณขยายตัวอย่างต่อเนื่อง คุณจะดึงดูดผู้มีความสามารถระดับสูง ช่วยให้คุณเปิดตลาด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และเอาชนะคู่แข่งได้ บริษัทคุณพลิกโฉมภูมิทัศน์ทางธุรกิจ

     แต่อย่าลืมว่าพลังอันยิ่งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ การจัดการการเติบโตแบบทวีคูณอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย การดำเนินการปรับขนาด การรักษาคุณภาพ และรักษาโมเมนตัมเริ่มต้น จำเป็นต้องมีการวางแผนและการดำเนินการอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม เมื่อทำถูกต้องแล้ว รูปแบบการเติบโตแบบทวีคูณสามารถเปลี่ยนสตาร์ทอัพขนาดเล็กให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการได้ ซึ่งสร้างมรดกที่ยั่งยืนในโลกธุรกิจ

แนวทางการสร้าง Exponential Growth Pattern

     ถ้าหากคุณพร้อมที่จะมีรายได้เติบโตเป็น 10 เท่าแล้วต่อไปนี้คือแนวทาง

ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest)

     รายได้ที่จะเพิ่มขึ้นได้ก็มาจากการทำกำไรจากดอกเบี้ย อย่างดอกเบี้ยทบต้น คือ การเอาดอกเบี้ยหรือกำไรที่ได้จากการลงทุน มาทบกับเงินต้นแล้วลงทุนต่อ ทุนเดิมที่มีก็จะเพิ่มพร้อมๆ กับดอกเบี้ย/กำไร ยิ่งผ่านไปนานเงินในบัญชีก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ยกตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ย

     หากเรานำเงิน 100,000 บาทไปลงทุน และได้ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 10 ปี

     แบบที่หนึ่ง ดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น เราจะได้ดอกเบี้ยปีละ 1,500 บาทเท่ากันทุกปี รวมดอกเบี้ย 10 ปี เท่ากับ 15,000 บาท โดยตัวอย่างของ ดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น คือ ดอกเบี้ยจากพันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, เงินปันผลที่ได้จากหุ้นหรือกองทุน

     แบบที่สอง ถ้าเป็นดอกเบี้ยแบบทบต้น

     สิ้นปีที่ 1 ได้ดอกเบี้ย 1,500 บาท

     สิ้นปีที่ 1 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 101,500 บาท

     สิ้นปีที่ 2 ได้ดอกเบี้ย 1,522.5 บาท

     สิ้นปีที่ 2 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 103,022.5 บาท

     สิ้นปีที่ 3 ได้ดอกเบี้ย 1,545.3 บาท

     สิ้นปีที่ 3 เงินต้นรวมดอกเบี้ย คือ 104,567.8 บาท

     และทบแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อสิ้นปีที่ 10 เงินต้นรวมดอกเบี้ยจะเป็น 116,054 บาท

นับเฉพาะดอกเบี้ยเท่ากับ 16,054 บาท เทียบกับแบบแรกที่ได้ 15,000 บาท

     โดยสูตรการคำนวณเงินต้นรวมกับดอกเบี้ยแบบทบต้น คือ

     เงินต้นรวมดอกเบี้ย = เงินต้น x (1+อัตราดอกเบี้ยต่อปี) ยกกำลังจำนวนปี

     โดยตัวอย่างของดอกเบี้ยแบบทบต้น คือเงินฝากออมทรัพย์ รวมถึงการลงทุนที่มีหลักการคล้ายกับดอกเบี้ยทบต้น เช่น

     - การซื้อกองทุนรวมชนิดสะสมมูลค่า ซึ่งผลตอบแทนจะทบรวมเข้าไปในกองทุนเรื่อย ๆ แทนที่จะถูกจ่ายเป็นปันผลออกมา

     - การนำดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่ได้รับ ไปลงทุนต่อที่อัตราผลตอบแทนเท่าเดิม

     นอกจากในด้านรายรับแล้ว พลังของดอกเบี้ยทบต้นก็ยังส่งผลต่อด้านรายจ่ายด้วยเช่นกัน

     ซึ่งเราก็สามารถแบ่งได้ 2 แบบเหมือนเดิม ยกตัวอย่างเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเรามีหนี้ 100,000 บาท ถูกคิดดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี และเรายังไม่ได้จ่ายคืนเงินต้นเลย

     แบบที่หนึ่ง ดอกเบี้ยไม่ทบต้น เราก็จะเสียดอกเบี้ย ปีละ 1,500 บาท เท่ากันทุกปี โดยตัวอย่างของการคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น คือ ดอกเบี้ยกู้ซื้อรถยนต์

     แบบที่สอง คำนวณแบบดอกเบี้ยทบต้น

     สิ้นปีที่ 1 เสียดอกเบี้ย 1,500 บาท

     สิ้นปีที่ 2 เสียดอกเบี้ย 1,522.5 บาท

     สิ้นปีที่ 3 เสียดอกเบี้ย 1,545.3 บาท

     โดยตัวอย่างของการคิดดอกเบี้ยแบบทบต้น คือ ดอกเบี้ยบัตรเครดิต และดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน

     อย่างที่ได้บอกไปว่าดอกเบี้ยแบบทบต้น จะคำนวณจากฐานเงินต้นใหม่เสมอ

     นั่นแปลว่า ยิ่งเราจ่ายเงินต้นคืนช้าเท่าไร ดอกเบี้ยก็จะยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น

     ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราจ่ายเงินต้นคืนมาก ก็จะทำให้ฐานเงินต้นใหม่มีค่าน้อยลง และดอกเบี้ยก็จะน้อยลงตามไปด้วย

Word of Mouth” เครื่องมือสร้างรายได้ทรงพลัง

     ตราบใดที่ลูกค้าพึงพอใจสินค้าหรือบริการคุณพวกเขาก็จะช่วยกันบอกต่อ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มสูงขึ้น และถ้าคุณสามารถรักษาคุณภาพของสินค้าไว้ได้ ก็จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้น เปรียบไปก็เหมือนปรากฏการณ์ “Snowball” ที่ลูกหิมะขนาดเล็ก ๆ เมื่อกลิ้งลงมาตามภูเขาก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในทางกลับกันหากไม่สามารถรักษาคุณภาพของสินค้าไว้ได้ เกิดของเสีย ก็จะทำให้ความพึงพอใจลูกค้าลดลง การบอกต่อก็ลดลง ส่งผลให้ยอดขายลดลงตามไปด้วย จะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เสมอ

Leverage Power

     แปลความหมายแบบตรงไปตรงมาก็จะแปลว่า “คานงัด” แต่ถ้าในแง่มุมของด้านการลงทุน ก็คือเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนให้สูงขึ้น ช่วยทำให้เราสามารถทำผลตอบแทนได้มากขึ้น (แน่นอนว่าก็ทำให้เรามีโอกาสขาดทุนเยอะขึ้นด้วยเช่นกัน)

     สมมติว่าเราต้องการลงทุนในทองคำทั้งหมด 10 บาท ถ้าทองคำตอนนี้ราคาบาทละ 25,000 บาท แปลว่าเราต้องเตรียมเงินลงทุนทั้งหมด 250,000 บาท ไปซื้อทองคำ เราถึงจะสามารถลงทุนในทองคำ 10 บาทได้ แต่การทำ “Leverage” คือการที่เราวางหลักประกันบางส่วนเท่านั้นตามเงื่อนไขของสัญญา ณ ช่วงเวลาต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น เราลงทุนผ่าน Gold Future โดยเราจะนำเงินไปวางเพียง 20,000 บาทเท่านั้น ก็เปรียบเสมือนถือทองคำหนัก 10 บาทได้

     อธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดขอใช้คำว่า เครื่องทุ่นแรง แล้วกันครับ มันคือเครื่องทุ่นแรงบางอย่างที่ช่วยให้คุณสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นภายในเวลาที่น้อยลงหรือเท่าเดิม เช่น สมมุติคุณทำธุรกิจร้านอาหารอยู่สาขาหนึ่งคุณดูแลบริหารเองทั้งหมดได้รายได้ต่อเดือน 100,000 บาท   คุณลองจ้างผู้จัดการเก่ง ๆ สักคนให้มาช่วยดูแลร้านสาขานี้แทนคุณไหมเสียค่าจ้างเงินเดือนเขาให้เขาไปสัก 30,000 เท่ากับคุณจะมีคนดูแลทุกอย่างแทนคุณ  ส่วนคุณก็เอาเวลาที่เหลือไปเปิดสาขาใหม่ต่อขยายธุรกิจต่อ สมมุติทำได้อีกสาขาหนึ่งรวมเป็น 2 สาขาก็ได้เงินไปแล้ว 70,000 + 100,000 บาท พอสาขาที่ 2 เริ่มไปรอดแล้วคุณก็จ้างผู้จัดการเก่ง ๆ อีกคนมาดูแลสาขานี้แล้วย้ายไปเปิดสาขาอื่นต่อเรื่อย ๆ  สมมุติคุณมีสัก 10 สาขาล่ะ เห็นมั้ยจาก เดือนละ 100,000  บาท ก็เป็นเดือนละ 1,000,000 บาทได้นะถ้าคุณใช้พลังทวีเป็นและใส่ใจในธุรกิจดีมากพอ

ข้อเสียของการ Leverage คืออะไร ?

     แน่นอนว่าในทางกลับกันถ้าราคาทองคำปรับตัวลดลงเหลือ 24,000 บาท การถือทองคำ 10 บาทอยู่จริง ๆ จะขาดทุน 10,000 บาท แปลว่าเราจะขาดทุนทั้งหมด 4% แต่ถ้าเราลงทุนผ่าน Gold Future เราจะขาดทุนสูงถึง 50% !!

ตัวอย่างการใช้ Leverage

     1) ใช้เวลาของคนอื่น OPT : Other People’s Time งานที่ไม่ค่อยสำคัญเป็นงานพื้น ๆ ที่คนอื่นสามารถทำแทนคุณได้ คุณก็หาคนอื่นมาทำแทนและให้ผลตอบแทนเขา ส่วนคุณเอาเวลาที่คุณมีไปทำอะไรที่มันสำคัญกว่าและสร้างเงินกับคุณได้มากกว่าเสียเวลาทำงานพื้น ๆ พวกนั้น เช่นคุณขายของออนไลน์อยู่แต่เป็นคนแพคของให้ลูกค้าเอง เสียเวลามากทำให้ตอบแชทลูกค้าไม่ทัน คุณลองไปจ้างเด็ก ๆ มาช่วยแพคของแทนคุณมั้ยแล้วไปโฟกัสแค่ตอบแชทลูกค้า Confirm Order รัว ๆ แค่นี้ก็ได้เงินมากกว่าเดิมแล้ว หรือถ้าเก่ง ๆ แล้วก็จ้างทั้งระบบไปเลย ส่วนคุณไปนั่งคิดต่อเอาเองว่าเอาอะไรมาขายจะได้เงินเยอะ ๆ อีกดี หรือสร้างระบบธุรกิจ คนรวยทุกคนมีระบบธุรกิจเป็นของเขาเอง มีผู้บริหาร ผู้จัดการเก่ง ๆ คอยดูแลแทนพวกเขา เขาจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามมากนักเพราะมักจะเอาเวลาไปนั่งคิดธุรกิจหรือไอเดียใหม่ ๆ ที่จะทำเงินให้เขามากกว่าเดิม

     2) ใช้ความรู้ประสบการณ์ของคนอื่น OPK : Other People’s Knowledge ในฐานะการเป็นนักธุรกิจ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อยู่เสมอ และจำเป็นที่จะต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ตัวคุณสามารถจะเรียนรู้เรื่องอะไรก็ได้ในโลกนี้เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่า คนเรามีเวลาจำกัดวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน ดังนั้น การที่เราเกิดมาชีวิตหนึ่ง เราจำเป็นที่จะเลือกเรียนรู้บางอย่างบางเรื่อง ที่เราชอบและสำคัญกับเรามาก ๆ เท่านั้น ดังนั้น การอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญจากผู้อื่น จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมหาศาล ซึ่งคุณรู้ไหมว่า ขนาดมหาเศรษฐีพันล้าน หมื่นล้าน แทบทุกคน ต่างมีที่ปรึกษาและอาจารย์เป็นของตนเองแทบทั้งสิ้น

     3) ใช้เงินของคนอื่น จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดที่สุดก็คือ การใช้เงินจากธนาคารในการขยายธุรกิจ เช่น หากต้องการขยายสาขาธุรกิจ คุณอาจจะต้องใช้เงินหลายล้านในการสร้างสาขาใหม่ แต่หากคุณมีเครดิตที่ดีจากสาขาแรก คุณสามารถไปต่อรองแบงค์เพื่อขอกู้เงินในการขยายธุรกิจได้ ซึ่งหากรอเอากำไรของสาขาแรก ไปขยายสาขาที่สอง อาจจะต้องใช้เวลานานจนไม่ทันการ

     4) ใช้พลังจากความสัมพันธ์ของคนอื่น OPR : Other People’s Relationships ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงของ Facebook ที่ Mark Zuckerberg ได้มีโอกาสรู้จักกับ Sean Parker ที่นำพาให้เขาได้ไปรู้จักกับ Peter Thiel ซึ่งกลายมาเป็นนักลงทุนคนแรกของ Facebook ด้วยเงินจำนวนกว่า 500,000 ดอลล่าร์ฯ หรือราว ๆ กว่า 15 ล้านบาท ซึ่งแน่นอนว่า เงินจำนวนนี้ ส่งผลให้ Facebook จากเดิมที่เติบโตเฉพาะในกลุ่มนักศึกษามหา’ลัย กลายเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คสำหรับคนทั่วไปทั้งโลก โดยเงินทุนก้อนนี้ ทำให้ Facebook เติบโตจนมีสมาชิกเกิน 1 ล้านคนแรก ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งหากไม่มีเงินทุนก้อนนี้ Facebook อาจจะไม่ได้เติบโตรวดเร็วขนาดนี้ และนั่นคือการใช้ประโยชน์จากคอนเนคชั่นของคนอื่น ซึ่งแน่นอนว่าการที่จะทำแบบนี้ได้นั้น ธุรกิจของคุณก็จำเป็นที่จะต้องเป็นธุรกิจที่ดีเสียก่อน

     5) Technology : รู้จักการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น การใช้ระบบ Automation การใช้ Sofeware เข้ามาช่วยในการทำงาน และอีกไม่นานก็จะมาถึงยุคของ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งคำถามก็คือ เราจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ว่านี้ มาช่วยให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างไรกันได้บ้าง

โมเดลธุรกิจแบบทวีคูณเพื่อให้เติบโต 10 เท่า

     การสร้างโมเดลธุรกิจแบบทวีคูณเพื่อให้เติบโต 10 เท่านั้นต้องใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์และมุ่งเน้นไปที่นวัตกรรม ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องพิจารณา:

  • ระบุ Value Proposition ที่น่าสนใจ: เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจตลาดเป้าหมายของคุณและระบุคุณค่าที่ไม่เหมือนใครซึ่งทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง เสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ช่วยแก้ปัญหาสำคัญหรือตอบสนองความต้องการที่สำคัญ

 

  • โอบรับ Disruptive Technologies : สำรวจเทคโนโลยีและแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งมีศักยภาพที่จะทำให้อุตสาหกรรมของคุณหยุดชะงัก เปิดรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ หรือความก้าวหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจของคุณไปข้างหน้า

 

  • ส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม: ส่งเสริมวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ การทดลอง และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่พนักงานรู้สึกมีอำนาจในการแบ่งปันความคิดและท้าทายสภาพที่เป็นอยู่ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการก้าวนำหน้าและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

 

  • ใช้ประโยชน์จากข้อมูลและการวิเคราะห์: ใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า แนวโน้มของตลาด และโอกาส ลงทุนในเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อรวบรวมข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริงและทำการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างรอบรู้

 

  • พัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์: ร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ซัพพลายเออร์ หรือแม้แต่คู่แข่งเพื่อสร้างความร่วมมือและขยายการเข้าถึงของคุณ การสร้างพันธมิตรสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดใหม่ เข้าถึงทรัพยากรเพิ่มเติม และผลักดันการเติบโตผ่านความเชี่ยวชาญที่มีร่วมกัน

 

  • Scale with Agility ปรับขนาดด้วยความว่องไว: สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ปรับขนาดได้ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว ใช้เทคโนโลยี กระบวนการ และระบบที่ปรับขนาดได้ซึ่งสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบต่อคุณภาพหรือความพึงพอใจของลูกค้า

 

  • Focus on Customer Experience มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ของลูกค้า: จัดลำดับความสำคัญของการมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว รวบรวมคำติชม และทำซ้ำผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณอย่างต่อเนื่องตามความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้า

 

  • ลงทุนด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์: พัฒนาเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่งและลงทุนในแคมเปญการตลาดที่กำหนดเป้าหมายเพื่อเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และดึงดูดลูกค้าใหม่ ใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล โซเชียลมีเดีย การตลาดเนื้อหา และการทำงานร่วมกันของผู้มีอิทธิพลเพื่อขยายข้อความของคุณ

 

  • สำรวจตลาดใหม่และกระจายความหลากหลาย: มองหาโอกาสในการขยายสู่ตลาดใหม่หรือกระจายข้อเสนอของคุณ ทำการวิจัยตลาด ระบุกลุ่มเฉพาะที่ยังไม่ได้ใช้ และปรับรูปแบบธุรกิจของคุณให้สอดคล้องกัน

 

  • Monitor, Measure, and Adapt : ตรวจสอบประสิทธิภาพธุรกิจของคุณอย่างต่อเนื่อง วัดตัวชี้วัดที่สำคัญ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของคุณตามความจำเป็น รักษาความคล่องตัวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและการพัฒนาความต้องการของลูกค้า

 

     โปรดจำไว้ว่า การเติบโต 10 เท่าต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างวิสัยทัศน์ นวัตกรรม การดำเนินการเชิงกลยุทธ์ และความสามารถในการปรับตัว

Ref : https://www.geniuswebb.com/blog/how-to-make-an-exponential-business-model-to10x-growth-5g.html

https://www.longtunman.com/38610

https://www.peerpower.co.th/blog/compound-interest-what-is

https://becomeabetterinvestor.net/blog/einsteins-eighth-wonder-of-the-world/

https://www.finnomena.com/andrewstotz/eighth-wonder-of-the-world/

https://shorturl.asia/Z1wdC

https://www.moneybuffalo.in.th/vocabulary/what-is-leverage

https://news.trueid.net/detail/Vqwalx4GjQkp

https://www.blueoclock.com/5-ways-to-use-leverage-in-business/

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

ย้อนตำนาน มาสคอตไทย ก่อน "น้องหมีเนย" มีแบรนด์ไหนทำมาร์เก็ตติ้งนี้บ้าง

หลายคนมี Brand Love ในใจ ที่ไม่ใช่แค่สินค้าต้องดี จนเรากลายเป็นลูกค้าประจำ ยังต้องมี Brand Characters ที่จะช่วยให้คนจดจำได้ อีกหนึ่งทางเลือกที่ถ้าอยากสร้างแบรนด์ให้ปัง

ขายสินค้าออร์แกนิกให้เป็นแมส จากแนวคิดแบรนด์ KING Organic

KING Organic ผู้ผลิตผัก ผลไม้ และสินค้าแปรรูปออร์แกนิก จ.สมุทรสาคร ได้คิดกลยุทธ์การทำธุรกิจที่เรียกว่า “Mass Premium” ขึ้นมา เพื่อทำของพรีเมียม ให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางมากขึ้น ในราคาที่ใครๆ ก็สามารถจับต้องได้ มีวิธีการยังไง ไปดูกัน