ใช้เทคโนโลยีแทนคนดีจริงหรือ? กรณีศึกษาการชำระเงินผ่านเครื่องอัตโนมัติ ผู้บริโภคสบายแต่สุขภาพจิตอาจแย่

TEXT : กองบรรณาธิการ

Main Idea

  • ปัจจุบันหลายธุรกิจมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ดำเนินกิจการต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิต และบริการ

 

  • แต่จริงๆ แล้วเทคโนโลยีสามารถนำมาใช้ทดแทนแรงงานจากคนได้ดีกว่าทั้งหมดหรือไม่ หรือทำแค่ไหนถึงจะพอดี ชวนมาอ่านข้อมูลจากเคสตัวอย่างด้านล่างนี้กัน

 

   

     อย่างที่รู้กันดีว่า ทุกวันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเพื่อความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา ความปลอดภัย หรือแม้แต่ในภาคธุรกิจเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็ตาม แต่จริงๆ แล้วเราสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้แทนคนได้ทั้งหมดหรือไม่ แบบไหนจะดีกว่า หรือใช้แค่ไหนถึงจะพอดี วันนี้จะชวนมาดูเคสตัวอย่างจากผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ปัจจุบันเริ่มมีการหันมาใช้เทคโนโลยีจากเครื่องอัตโนมัติ เพื่อชำระเงิน ทดแทนการใช้แคชเชียร์มากขึ้น ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ลองไปดูกัน

     Los Angeles Times รายงานว่าปัจจุบันผู้บริโภคชาวอเมริกันมีปัญหาด้านสุขภาพจิตจากความรู้สึกเหงา โดดเดี่ยวมากขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากเมื่อแบรนด์ร้านค้าต่างๆ เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีชำระเงินผ่านเครื่องอัตโนมัติด้วยตนเอง เพื่อทดแทนแรงงานทน รวมไปถึงป้องกันปัญหาการโจรกรรมสินค้ามากขึ้น

     โดยเทรนด์การให้ลูกค้าชำระเงินด้วยตนเองผ่านเครื่องอัตโนมัติที่อเมริกาเริ่มมีมานานหลายปีแล้ว ซึ่งแต่เดิมจะถูกใช้เฉพาะในร้านค้าปลีกหรือซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่มีสินค้าขายจำนวนมากเพียงไม่กี่ราย แต่ปัจจุบันเทรนด์ดังกล่าวเริ่มกระจายความนิยมออกไปสู่ร้านค้าต่างๆ เพิ่มมากขึ้น

     เช่น ร้าน Kroger ในรัฐเทนเนสซีที่จะให้ลูกค้าชำระเงินด้วยตนเองผ่านตู้อัตโนมัติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือร้าน Amazon Fresh ที่ใช้เวลาหลายปีในการพยายามให้ลูกค้าใช้เทคโนโลยี Just Walk Out ก็ยังมีการเพิ่มจุดชำระเงินด้วยตนเองผ่านเครื่องอัตโนมัติมากขึ้น เหตุผลหลักๆ ข้อหนึ่ง ก็เพื่อป้องกันปัญหาการโจรกรรมสินค้า อีกส่วนก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการลดใช้แรงงานคน รวมไปถึงเพื่อความแม่นยำ และสะดวกสบายมากขึ้น โดยสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ว่าจำนวนพนักงานเก็บเงินทั่วประเทศจะลดลง 10% ในช่วงปี 2564 - 2574 หรือสูญเสียตำแหน่งงานประมาณ 335,000 ตำแหน่ง

     โดยจากการสำรวจของ PlayUSA ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ครอบคลุมข่าวในอุตสาหกรรมเกม กล่าวว่าชาวอเมริกัน 2 ใน 3 รู้สึกว่าเทคโนโลยีเป็นตัวขัดขวาง หรือทำให้การโต้ตอบระหว่างบุคคลทำได้ยากขึ้น เช่นเดียวกับที่องค์กรการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกรายงานเตือนว่า ปัจจุบันชาวอเมริกันมีปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดจากความเหงาจากการใช้เทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น ขณะที่นักสังคมศาสตร์กล่าวว่าการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้สิ่งที่เรียกว่า “Weak Ties” การสร้างโอกาสเชื่อมต่อ หรือสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกันเอง (ในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ) หายไป เช่น การพูดคุย ทักทายระหว่างลูกค้ากับแคชเชียร์ เป็นต้น

     มีการรายงานสถิติออกมาว่า ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาชาวอเมริกันมีการใช้เวลาตามลำพังอยู่กับตัวเองเพียงคนเดียวมากขึ้นกว่าเดิม ตัวอย่างเช่นในปี 2019 คนอเมริกันโดยเฉลี่ยใช้เวลาตามลำพังมากกว่า 24 ชั่วโมงต่อเดือน ซึ่งมากกว่าที่พวกเขาเคยทำในปี 2003

     แต่ถึงอย่างไรก็ตามจากการสำรวจเมื่อเดือนเมษายนของ PlayUSA พบว่ามากกว่า 7 ใน 10 (71%) ของชาวอเมริกัน 1,001 คนที่ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าการชำระเงินโดยมนุษย์ใช้เวลานานกว่า ในขณะที่ 60% ยอมรับว่าพวกเขาไม่ต้องการพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างอึดอัด ผู้ที่ไม่เข้าชอบการเข้าสังคม 14% กล่าวว่าพวกเขาจะรอในช่องทางบริการตนเอง แม้ว่าแคชเชียร์จะว่างก็ตาม

     ตัวเลือกดังกล่าวมักได้รับความนิยมเป็นพิเศษจากกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในวัย Gen Z 84% และรุ่น Millennials 76% โดยกล่าวว่าพวกเขาชอบชำระเงินด้วยตนเองมากกว่าการปฏิสัมพันธ์กับคน ขณะที่ผู้ซื้อที่มีอายุมากกว่า Gen X 57% และเบบี้บูมเมอร์ 46% มักจะชอบรูปแบบการชำระเงินแบบเดิมที่ได้โต้ตอบแบบเห็นหน้ากันมากกว่า

     Darryl Jones นักช้อปวัย 72 ปีที่มาซื้อสินค้าที่ร้าน Albertsons ในแคลิฟอร์เนียตอนใต้กล่าวว่าเขาชอบการชำระเงินรูปแบบเดิมมากกว่า โดยเขาชอบพูดคุยและเล่นตลกกับแคชเชียร์ที่รู้จักที่ร้าน

     “สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ทำให้การมีมนุษย์เป็นเรื่องสำคัญ การใช้ความฉลาดจากสมองกล พรากสิ่งเหล่านั้นออกไป”

     ซึ่งความคิดดังกล่าวดูจะไปตรงกับแนวคิดของผู้บริหารแบรนด์ Trader Joe “Jon Basalone” ประธานบริษัทและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทที่มีร้านค้าสาขาหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ ได้ตอบคำถามพิธีกรหลังถูกถามเกี่ยวกับข่าวลือว่า Trader Joe มีแผนจะเพิ่มตู้ชำระเงินด้วยตนเองในร้านค้าของตน

     โดยกล่าวว่าแม้เทรนด์การชำระเงินด้วยตนเองแพร่หลายในร้านขายของชำหลายแห่ง แต่ Trader Joe's ไม่มีแผนที่จะเพิ่มตู้ชำระเงินในร้านค้าเหล่าพนักงานจะไม่มีวันถูกแทนที่ด้วยสิ่งนั้นแน่นอน

     “เราเชื่อมั่นในผู้คน เราจะไม่พยายามกำจัดพนักงานที่เปรียบเหมือนลูกเรือของเรา และใช้เทคโนโลยีเข้ามาแทนเพื่อคิดว่าสิ่งนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพบริการแน่นอน”

     ซึ่งสิ่งนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นของแบรนด์ Trader Joe ด้วย โดยพนักงานแคชเชียร์ของ Trader Joe มักมีชื่อเสียงในด้านมารยาทและอัธยาศัยที่ดีในการทักทายกับลูกค้า เช่น วันนี้ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม นี่คือ อาหารโปรดของคุณไหม รวมถึงหัวข้อพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ เป็นต้น

     คราวนี้คงอยู่กับผู้ประกอบการแต่ละคนแล้วละว่า จะเลือกใช้เทคโนโลยีแบบใดบ้างเพื่อทดแทนแรงงานคน อาจต้องมีการชั่งใจถึงข้อดีข้อเสียที่จะเกิดขึ้นก่อน เพื่อเลือกว่ารูปแบบใด คือ สิ่งที่เหมาะและดีกับธุรกิจของเรากันแน่

ที่มา : https://www.businessinsider.com/self-checkout-makes-american-shoppers-lonelier-report-2023-8

https://www.businessinsider.com/trader-joes-ceo-on-self-checkout-cashiers-flirting-2023-8?inline-endstory-related-recommendations=

https://nypost.com/2023/08/29/self-checkout-machines-could-be-making-americans-lonelier/

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

วิกฤตสูงวัย เด็กเกิดใหม่น้อย กรณีศึกษาธุรกิจญี่ปุ่น ปรับตัวผลิตสินค้าผู้ใหญ่แทนสินค้าเด็ก

Oji Holdings ผู้ผลิตผ้าอ้อมในญี่ปุ่นประกาศยุติผลิตผ้าอ้อมเด็ก หันไปเพิ่มปริมาณการผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แทน สาเหตุมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงและจำนวนประชากรสูงวัยของญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้น

โอกาสโกอินเตอร์ของแบรนด์ไทย ทำงานกับนักธุรกิจระดับโลก งาน Gifts & Premium Fair ฮ่องกง

ฮ่องกงขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีการจัดงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง และหนึ่งในนั้นคืองานแสดงสินค้าของขวัญและของพรีเมียมภายใต้ชื่อ Hong Kong Gifts & Premium Fair ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27-30 เมษายน 2024