โอกาสธุรกิจแมลง ทางเลือกโปรตีนสุดล้ำสำหรับ SME

     ถ้าพูดถึงโปรตีน หลายคนอาจนึกถึงเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือปลา แต่รู้ไหมว่า ‘แมลง’ กำลังกลายเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกที่มาแรงสุด ๆ ในยุคนี้! ไม่ใช่แค่แปลกใหม่ แต่ยังเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและมีบทบาทสำคัญต่อความยั่งยืนของโลก

     ทำไมธุรกิจแมลงถึงมาแรง อุตสาหกรรมแมลงกินได้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) 25.1% ระหว่างปี 2025-2030 นี่ไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการสร้างธุรกิจที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และใส่ใจสิ่งแวดล้อม

     แมลงโปรตีนแห่งอนาคต ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี แต่ยังใช้ทรัพยากรน้อยกว่าปศุสัตว์มาก เช่น การเลี้ยงแมลง 1 กิโลกรัม ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) น้อยกว่าเนื้อสัตว์ถึง 27-40 เท่า และใช้พื้นที่และน้ำน้อยกว่า 5-13 เท่า ซึ่งเหมาะสำหรับยุคที่ทรัพยากรธรรมชาติเริ่มหายากขึ้น

โอกาสประเทศไทยต่อการพัฒนาตลาดแมลงกินได้

     1. องค์ความรู้การเพาะเลี้ยง และตลาดในประเทศรองรับ

          ประเทศไทยมีองค์ความรู้พื้นบ้านในการจับ เลี้ยง และปรุงแมลงเพื่อบริโภคหลากหลายชนิด เช่น จิ้งหรีด ดักแด้ แมงดา โดยสามารถผลิตแมลงเศรษฐกิจได้มากกว่า 7,000 ตันต่อปี ปัจจุบันตลาดภายในประเทศให้การตอบรับที่ดีต่อแมลงกินได้ โดยมีการแปรรูป และจำหน่ายในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ทั้งในตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร ทำให้การเลี้ยงแมลงมีศักยภาพทางเศรษฐกิจและสามารถพัฒนาให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืนในระดับครัวเรือนได้

     2. ตัวเลือกที่ยั่งยืน ประหยัดทรัพยากร ตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลก

          ภาคปศุสัตว์ปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 7.1 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2eq) ต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 14.5% ของก๊าซเรือนกระจก (GHG) ทั้งหมด ทำให้ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเริ่มหันมาบริโภคโปรตีนจากแมลงแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์มากขึ้น

          การผลิตโปรตีนจากแมลง 1 กิโลกรัม ปล่อย GHG เพียง 1 กิโลกรัม CO2eq น้อยกว่าการทำปศุสัตว์ถึง 27-40 เท่าเมื่อเทียบกับปริมาณโปรตีนที่ได้รับจากปศุสัตว์ในปริมาณที่เท่ากัน นอกจากนี้ ฟาร์มแมลงสามารถเลี้ยงในพื้นที่จำกัด ใช้น้ำน้อย และต้องการอาหารน้อยกว่าปศุสัตว์อื่น เช่น วัว หมู ไก่ ถึง 5-13 เท่า ทำให้ฟาร์มแมลงเป็นทางเลือกที่ต้นทุนทรัพยากรต่ำและยั่งยืนกว่า

     3. อากาศร้อน และแนวโน้มอุณหภูมิที่สูงขึ้น

          ส่งผลให้การเพาะเลี้ยงแมลงยิ่งได้เปรียบ ในอนาคต แมลงอาจเป็นแหล่งโปรตีนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากสามารถเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ขณะที่ปศุสัตว์ต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

          อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อปศุสัตว์ เช่น วัว หมู ไก่ โดยลดอัตราการเจริญเติบโต เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียและปรสิต และลดผลผลิต เช่น เนื้อไก่และนมวัว สูงถึง 38% แต่แมลงมีความสามารถในการปรับตัวต่ออุณหภูมิสูงได้ดีกว่า และบางชนิดอาจเติบโตได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถผลิตโปรตีนได้มากขึ้น

          อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอาจส่งผลเสียต่อการเติบโตและความหลากหลายของสายพันธุ์แมลงบางชนิด เช่น ผึ้ง ผีเสื้อ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อปกป้องระบบนิเวศในระยะยาว

ตลาดค้าแมลงของโลกเป็นอย่างไร?

     ตลาดแมลงกินได้ทั่วโลกกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2024 มีมูลค่าราว 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 25.1% ระหว่างปี 2025-2030 ความต้องการโปรตีนจากแมลงเพิ่มขึ้นในยุโรป อเมริกา และเอเชียตะวันออก โดยใช้ในรูปแบบโปรตีนผง (Powder) โปรตีนอัดแท่ง (Protein Bar) และอาหารสัตว์

     สำหรับประเทศไทย เป็นผู้ส่งออกแมลงอันดับ 6 ของโลก มีสัดส่วน 6% ของมูลค่าการส่งออกแมลงทั้งหมด หรือประมาณ 5.86 แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ส่วนผู้เล่นหลักในตลาดแมลงโลก ได้แก่ สเปน จีน และออสเตรเลีย ที่รวมกันครองสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของการส่งออกทั้งหมด

ความท้าทาย

     ไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตแมลงรายใหญ่ และมีแมลงกินได้ที่มีโปรตีนสูงหลายชนิดสามารถเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์ได้ เช่น จิ้งหรีด หนอนไม้ไผ่ แมงมัน ดักแด้ไหม หนอนนก ถึงแม้ปัจจุบัน มูลค่าการส่งออกแมลงยังคงมีมูลค่าไม่มาก แต่ในอนาคตด้วยกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และแนวโน้มอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น อาจเป็นส่วนช่วยให้ตลาดแมลงกินได้ไทยขยายตัวได้มากยิ่งขึ้น

     การยอมรับของผู้บริโภคยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากความรู้สึกไม่คุ้นเคยและความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร อีกทั้งยังคงต้องติดตามผลกระทบด้านอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น หรือที่อาจเปลี่ยนไปในกรณีการผลิตเพื่อรองรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และในพื้นที่ที่มีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกัน

 อ    กจากนี้ การขึ้นเป็นผู้นำในตลาดแมลงกินได้ของโลก อาจจะต้องแข่งขันกับผู้นำตลาดแมลงกินได้ ได้แก่ สเปน จีน และออสเตรเลีย ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกรวมกันประมาณ 64% และมีจุดแข็งจากการสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งไทยอาจนำมาเป็นแนวทางพัฒนา (ภาคผนวก ตารางที่ 1)

     ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แมลงมีแนวโน้มได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตในอนาคต เนื่องจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ส่งผลให้แมลงสามารถเลี้ยงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าปศุสัตว์โดยเปรียบเทียบ ทั้งนี้ ต้นทุนการลงทุนเบื้องต้นของฟาร์มขนาดพื้นฐานในการเลี้ยงแมลง เช่น จิ้งหรีด อยู่ในระดับไม่สูงมากนัก เพียงประมาณ 45,000 – 75,000 บาท สามารถสร้างกำไรจากการจำหน่ายแมลงสด 9,600 – 37,000 บาท/ปี และหากสามารถแปรรูปเป็นแป้งแมลงจะทำให้กำไรสูงขึ้นเป็น 260,000 บาท/ปี

     นอกจากนี้ หากพิจารณาปัจจัยด้านการใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์ การเลี้ยงแมลงจะทำกำไรต่อตารางเมตรได้สูงถึง 9,300 บาท/ตร.ม. ขณะที่ปศุสัตว์อื่น เช่น ไก่เนื้อ และโคนม สามารถทำกำไรได้ราว 1,500 บาท/ตร.ม.

     ด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น องค์ความรู้ ภูมิอากาศ เทรนด์โลก ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพสูงทั้งด้านการผลิตและส่งออกแมลง ซึ่งหากได้รับการผลักดัน และส่งเสริมการบริโภคแมลงในประเทศควบคู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจช่วยสร้างรายได้มหาศาลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว จึงอาจเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนระบบอาหารที่ยั่งยืนของไทยและของโลกในอนาคต

     ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก Chaos Packaging บรรจุภัณฑ์สุดแหวกที่ทำให้แบรนด์ “ปัง” ในพริบตา

เคยเห็นครีมกันแดดในกระป๋องวิปครีมไหม? หรือผ้าอนามัยที่ดูเหมือนไอศกรีม? นี่แหละ Chaos Packaging! กลยุทธ์ที่ทำให้คนงง แต่จำได้ไม่ลืม ถ้าอยากให้สินค้าสร้างกระแส กระตุ้นความอยากรู้ ลองคิดนอกกรอบด้วยบรรจุภัณฑ์ที่ “แหวกแบบมีแผน”

จิบกาแฟยังไงให้สนุกขึ้น! แก้วน้ำติดแม็กเน็ต เปลี่ยนอารมณ์ได้ตามใจชอบ

จะดีกว่าไหม? ถ้าได้นั่งจิบกาแฟแก้วโปรดทุกวัน แต่สามารถเปลี่ยนอารมณ์บนลวดลายแก้วได้ตามชอบใจง่ายๆ จากแก้วใบเดิม ให้กลายเป็นแก้วใบใหม่

Nekojita FuFu หุ่นยนต์แมวตัวน้อยช่วยเป่า “ฟู่ฟู่” ลดอุณหภูมิของกิน ดับร้อน สบายลิ้น

ไอเดียเจ๋ง! “Nekojita FuFu” หุ่นยนต์แมวตัวน้อย ไซส์ตะมุตะมิ ซึ่งติดตั้งพัดลมอยู่ภายในและเป่าลมออกมาทางปากฟู่ฟู่ เพื่อขับความร้อนให้ โดยที่เราไม่ต้องเป่าเองอีกต่อไป