เรียบเรียง : Surangrak
ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้ ทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทย ที่ยังดูขาดความเชื่อมั่นและ มั่นคงว่าจะไปต่อทิศทางไหน
บริษัท อิปซอสส์ จำกัด (Ipsos Ltd.) ผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค ได้เปิดตัวรายงานชุด "What Worries Thailand H1 2025" เจาะอินไซต์ความกังวลใจสูงสุดของคนไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งเป็นการศึกษาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565
โดยรวบรวมข้อมูลจากผลสำรวจหลายฉบับ ประกอบด้วย “What Worries the World June 2025” จากกลุ่มตัวอย่าง 24,737 คน ใน 30 ประเทศ (เก็บข้อมูลวันที่ 25 เม.ย-9 พฤษภาคม 2568), “Ipsos Populism Report 2025” : จากกลุ่มตัวอย่าง 23,228 คน ใน 31 ประเทศ (เก็บข้อมูลวันที่ 21 ก.พ-7 มี.ค 2568) และ International Women’s Day 2025 : จากกลุ่มตัวอย่าง 23,765 คน ใน 30 ประเทศ (เก็บข้อมูลวันที่ 20 ธ.ค 2567-3 ม.ค 2568 (หมายเหตุ : ทุกกลุ่มตัวอย่างมีอายุ 16-74 ปี และกลุ่มตัวอย่างชาวไทย 500 คน อายุ 20-74 ปี)
อุษณา จันทร์กล่ำ กรรมการผู้จัดการ และ พิมพ์ทัย สุวรรณศุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ได้สรุปอินไซต์คนไทย ไว้ดังนี้
ด้านสังคม
1. คนไทยกังวลเรื่อง ‘คอร์รัปชัน’ เป็นอันดับหนึ่ง แต่เป็นอันดับสุดท้ายของทั่วโลก โดยพบว่า อันดับหนึ่ง ที่คนไทยกังวลใจมากที่สุด ก็คือ การเงินและการทุจริตทางการเมือง 45% รองลงมา คือ ความยากจนและความไม่เท่าเทียมทางสังคม 37% ซึ่งก็ค่อนข้างสูงไม่ต่าง อันดับสาม คือ การว่างงาน 31% อันดับสี่ - ภาวะเงินเฟ้อ 24% และอันดับห้า คือ อาชญากรรมและความรุนแรง 22%
จากอันดับหนึ่งและสอง แสดงให้เห็นว่าปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกังวล ก็คือ ปัญหาด้านสังคม ซึ่งสวนทางกับทั่วโลกที่ความกังวลใจอันดับแรก คือ “ภาวะเงินเฟ้อ” รองลงมา คือ อาชญากรรมและความรุนแรงในประเทศ, การว่างงาน, ความยากจน ไม่เท่าเทียมในสังคม และเรื่องสุดท้าย คือ การทุจริต คอร์รัปชัน
2. คนไทยมองสังคมกำลังตกอยู่ในวิกฤต สูงสุดของโลก จากผลสำรวจความรู้สึกเปราะบางในสังคมและประเทศ พบว่า 66% ของคนไทยเชื่อว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ใน ‘ภาวะวิกฤต’ และ 60% มองว่าประเทศกำลังอยู่ใน ‘ภาวะถดถอย’ ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับดัชนีชี้วัดสังคมวิกฤตของอิปซอสสที่เคยทำไว้จาก 31 ประเทศทั่วโลก (Ipsos Society is Broken Index) โดยวัดจากเศรษฐกิจ สังคมและนโยบายการบริหารประเทศ พบว่าอัตราค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 61% แต่ของไทยกลับสูงถึง 77% โดย 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นว่าประเทศไทยกำลังมาผิดทาง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 13%
3. ความเหลื่อมล้ำ-ช่องว่าง ยังคงเป็นปัญหาหลัก
- 84% มองเรื่องความขัดแย้งระหว่างคนรวยกับคนจน
- 76% มองเรื่องความแตกต่างของช่วงวัย
- 73% ความแตกต่างระหว่างผู้มีแนวคิดเสรีนิยมและผู้ที่มีค่านิยมดั้งเดิม
4. ความหวังด้านผู้นำ
- 79% เรียกร้องให้มีผู้นำที่กล้าหาญพอที่จะ "แหกกฎ" เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ
- 77% สนับสนุนผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อทวงคืนประเทศจากกลุ่มคนร่ำรวยและผู้มีอำนาจ
ด้านเศรษฐกิจ
5. ชนชั้นกลาง/มนุษย์เงินเดือน ไม่อยากจ่ายภาษีเพิ่ม
- 45% ของคนไทยไม่เห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีเพิ่ม
- 70% สนับสนุนให้รัฐเพิ่มการใช้จ่ายในด้านบริการสาธารณะ
พฤติกรรมดังกล่าว ทางอิปซอสส์ ได้เรียกว่า "Cakeism" เป็นสำนวนอังกฤษ หมายถึงการอยากได้ผลประโยชน์ทั้งสองส่วนพร้อมกัน ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับการกินเค้กหรือพายไปแล้ว เราไม่มีทางที่จะเหลือเค้กหรือพายอยู่ได้
โดยเศรษฐกิจแบบ Cakeism นับเป็นปัญหาทั่วโลกในทุกประเทศ ซึ่งกลุ่มชนชั้นกลางหรือเหล่ามนุษย์เงินเดือนมักเป็นผู้เสียภาษีอย่างถูกต้องและเยอะที่สุด หากต้องมาจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นอีก จึงรู้สึกไม่แฟร์กับตน ในขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้สูงหรือนายทุน นักธุรกิจกลับมีสิทธิพิเศษบางอย่าง หรือผู้มีรายได้น้อยไม่เข้าเกณฑ์ ไม่เข้าระบบ ก็ไม่ต้องถูกจัดเก็บ จึงทำให้ไม่อยากจ่ายเพิ่ม แต่กลับรู้สึกภาครัฐต่างหากที่ต้องเพิ่มสวัสดิการและบริการสาธารณะที่เหมาะสมให้แทน
6. สาเหตุที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
มองว่ามาจาก 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- 81% ระดับอัตราดอกเบี้ยในประเทศ
- 81% นโยบายของรัฐบาล
- 81% สภาวะเศรษฐกิจโลก
- 79% แรงงานเรียกร้องค่าตอบแทนที่สูงขึ้น
- 77% ธุรกิจต่างๆ มุ่งทำกำไรมากเกินไป
พฤติกรรมผู้บริโภค
7. มีความลังเลมากขึ้นในการซื้อของชิ้นใหญ่
ผลสำรวจเผยให้เห็นว่า 65% ของคนไทยมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันย่ำแย่ลง ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกว่า 60,000 บาทลงมา ทำให้คนไทยมีความลังเลในการจับจ่ายสินค้ามากขึ้น
53% รู้สึกไม่สบายใจที่จะซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ ประเภทบ้านหรือรถยนต์
และ 46% สำหรับการซื้อของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ (ไม่ใช่สินค้าในชีวิตประจำวัน) เช่น ทีวี, แอร์, ตู้เย็น, พัดลม หากยังไม่จำเป็น ก็ยังไม่อยากเปลี่ยนใหม่
8. ในอีก 6 เดือนข้างหน้า ยังกังวลค่าใช้จ่ายต่างๆ
- 69% ค่าสาธารณูปโภค
- 66% ค่าเชื้อเพลิงรถยนต์
- 66% ใช้จ่ายด้านอาหาร
- 62% ค่าใช้จ่ายในการซื้อของใช้ในบ้านอื่นๆ
- 44% ค่าใช้จ่ายในการสังสรรค์
- 38% ค่าที่อยู่อาศัย
- 34% ค่าสมาชิกต่างๆ
โดยมองว่าในส่วนนี้ภาคธุรกิจ หรือแบรนด์ต่างๆ สามารถช่วยผู้บริโภคลดความกังวลใจลงได้ เช่น 1.การคืนกำไรสู่สังคม สร้างผลกระทบเชิงบวก เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อแบรนด์ นำไปสู่ Brand Loyalty หรือ ความภักดีต่อแบรนด์ได้ และ 2.สร้างความเชื่อมั่น โปร่งใส ดำเนินธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล ทำให้แบรนด์เกิดความเชื่อมั่น เป็นตัวอย่างธุรกิจที่น่านับถือ
9. ความเท่าเทียมทางเพศ มีผลต่อธุรกิจ
คนไทยให้การสนับสนุนธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับความเท่มเทียมทางเพศ
- 44% เชื่อว่าธุรกิจที่มีนโยบายส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศนั้น มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมโดยรวม
- 71% ของคนไทยเชื่อว่าการบรรลุความเท่าเทียมเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะมีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างความคิดเห็นของผู้ชาย (69%) และผู้หญิง (73%)
10. คาดหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้น ต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี
59% ของคนไทยบอกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว หรือเงินเฟ้อเข้าสู่ภาวะปกติ ต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี แต่ถึงจะมีความกังวล แต่ 37% ของคนไทยคาดการณ์ว่าสถานะทางการเงินส่วนบุคคลจะแข็งแกร่งขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่ต้องยอมรับว่าตัวเลขนี้ลดลงถึง 17% จากปีที่แล้ว
- กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้สูง เชื่อว่าจะดีขึ้น 41% (ลดลงกว่าปีที่แล้ว 9%)
- ครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลาง เชื่อว่าจะดีขึ้น 37% (ลดลงกว่าปีที่แล้ว 13%)
- ครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เชื่อว่าจะดีขึ้น 24% (ลดลงกว่าปีที่แล้ว 31%)
11. คนไทยเสพข่าวผ่านโซเชียลมีเดียมากเป็นอันดับหนึ่ง
- โซเชียลมีเดีย 86%
- โทรทัศน์ 57%
- ข่าวจากเว็บไซต์ 52%
- เพื่อนและครอบครัว 36%
- พอดแคสต์ 18%
- หนังสือพิมพ์ 17%
- วิทยุ 11%
- ไม่ตอบ + อื่นๆ อย่างละ 2%
คนไทยเลือกเสพข้อมูลข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดียมากถึง 86% สูงเป็นอันดับหนึ่ง ข้อดี คือ ช่วยให้แบรนด์สื่อสารกับผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น แต่ข้อเสีย คือ อาจทำให้เกิด Fake News ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
12. “กลัวตกงาน” ความหวั่นใจยังสูง
- 59% หรือเกือบ 6 ใน 10 คน ระบุว่ารู้จักคนที่เพิ่งตกงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
- 28% หรือเกือบ 1 ใน 3 กังวลว่าตนเองอาจประสบปัญหาการตกงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า
- 48% มีความมั่นใจน้อยลงเกี่ยวกับความมั่นคงในงานของตนเอง ครอบครัว และบุคคลใกล้ชิด
- 54% มีความมั่นใจน้อยลงเกี่ยวกับความสามารถในการลงทุนเพื่ออนาคต เช่น เงินเกษียณอายุ, การศึกษาของบุตรหลาน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี