เมื่อความน่าสนใจของบริการทางด้านสุขภาพในอนาคตจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภายในโรงพยาบาลอีกต่อไป เพราะด้วยเทรนด์ และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ประกอบกับเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนทำให้ HealthTech กำลังถูกจับตามองต่ออนาคตของบริการด้านการแพทย์และสุขภาพไทยต่อจากนี้ โดยเฉพาะเมื่อที่ความปลอดภัยด้านสุขภาพจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการท่องเที่ยว
ธุรกิจ HealthTech ในประเทศไทยกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ (Aging Society) ทำให้มองหาโซลูชัน หรือเทคโนโลยีมาช่วยให้บริการ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ประกอบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโควิด-19 ได้เข้ามาเร่งให้ผู้บริโภคเข้าถึงโซลูชันเกี่ยวกับ HealthTech มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของบริการรักษาทางไกล (Telemedicine) ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด
ซึ่งในงานเสวนา LINE Hospitality Tech 2021: Next in the new era ท่องเที่ยว สุขภาพ พลิกฟื้นประเทศไทย หัวข้อ ‘The Rise of HealthTech’ ทำให้เราได้เห็นทิศทางของธุรกิจ HealthTech ในหลากหลายแง่มุม
ก้าวสู่ HealthTech 2.0 ที่ไม่ใช่แค่การรักษา
จักร โกศัลยวัตร President Thai HealthTech Association และ CEO PharmaSafe เผยความท้าทายของอุตสาหกรรม HealthTech ว่า เราควรก้าวสู่ยุค HealthTech 2.0 โดยจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องแค่ภายในโรงพยาบาลหรือเป็นแค่การรักษาอีกต่อไป แต่ยังรวมถึงการดูแลสุขภาพ การดูแลเชิงพฤติกรรม ไปจนถึงเรื่องของ Wellness และไลฟ์สไตล์ด้วย
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ HealthTech ไทยพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้ คือในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ที่หลายภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการเชื่อมต่อข้อมูลซึ่งกันและกันเป็นในระดับหรือรูปแบบแพลตฟอร์ม ไม่ใช่เป็นโซลูชันแยกย่อยต่างกันไปเหมือนในปัจจุบัน เพื่อสร้างมาตรฐานข้อมูลสุขภาพที่ตรงกันเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันได้ เพื่อการวินิจฉัย การรักษา รวมถึงการบริหาร พัฒนา HealthTech ในระยะยาวที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ทั้งในเชิงการออกแบบการรักษา ออกแบบชุดยา รวมไปถึงออกแบบข้อแนะนำด้านสุขภาพให้แต่ละคนได้อย่างตรงจุด
หากมีการปรับสร้างโครงสร้างพื้นฐานในโลก HealhTech ให้เชื่อมต่อกันแล้ว หมอก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วยได้โดยละเอียดจากฐานข้อมูลที่ครอบคลุม ชัดเจน รวมไปถึงระบบการรักษาทางไกล ที่หมอสามารถติดตามอาการคนไข้พร้อมแบบ 24 ชั่วโมงในทุกวันได้ด้วยเทคโนโลยี จึงจำเป็นที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของระบบสาธารณสุขไทย ให้ทันกับยุคสมัย ที่สุดท้ายข้อมูลสุขภาพต่างๆ ควรจะเชื่อมเข้าหากันอย่างไร้รอยต่อ (Seamless)
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราน่าจะได้เห็นเทคโนโลยีต่างๆ ในด้าน Health เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น จนผู้คนแยกไม่ออกว่าคือการรักษาอยู่ อาจจะมีหมอที่รู้ข้อมูลทุกอย่างแต่คนไข้ไม่เคยเจอหมอเลย รวมถึงในอนาคต หมออาจจะมาในรูปแบบของอุปกรณ์เครื่องใช้ที่อยู่ในบ้าน เช่น พรมเช็ดเท้าที่สามารถชั่งน้ำหนักได้ หรือเตียงที่สามารถวัดสัญญาณชีพ ทั้งความดันโลหิต อุณหภูมิ ชีพจน และการหายใจในขณะที่นอนหลับอยู่ เป็นต้น
ถึงรักษาทางไกลก็ต้อง Personalization ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล
เทรนด์ของ HealthTech ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือการทำ Personalization เพราะผู้ป่วยแต่ละคนล้วนมีปัจจัยแตกต่างกันทางด้านสุขภาพ จากข้อมูลต่างๆ ที่ได้เพิ่มขึ้นจากยุคดิจิทัล การออกแบบการรักษาจึงต้องปรับให้เฉพาะบุคคลมากขึ้น รวมถึงการออกแบบประสบการณ์ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูลทางการแพทย์ได้เอง อย่างเซ็นเซอร์หรือสมาร์ทวอทช์ที่จะคอยเก็บข้อมูลสุขภาพ และในอนาคตก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อีกเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้งานมากขึ้นคือ บรรดา Automation และ Robotics ต่างๆ เพราะเมื่อมีดาต้า มี AI มาช่วยทำงาน การบริหารจัดการข้อมูลเอกสาร การให้คำแนะนำ การจัดยา จะเริ่มเห็นว่าปัจจุบันหลายๆ โรงพยาบาลเริ่มมีการนำมีหุ่นยนต์มาช่วยในการไปจัดส่งเวชภัณฑ์ตามห้องผู้ป่วยแล้ว และในอนาคตก็จะมีความหลากหลายมากขึ้นอีก
สุดท้าย คือเทคโนโลยีสำหรับการคาดการณ์ (Predictive) อย่างการรักษาจาก Genomics หรือข้อมูลพันธุกรรมเฉพาะบุคคล ร่วมกับข้อมูลสุขภาพอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงของการวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะกลายเป็นอนาคตของบริการสุขภาพที่สามารถป้องกันได้ก่อนเกิดโรค