​การเติบโตของ Startupไทยในสายตา กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล

 


เรื่อง กองบรรณาธิการ


    ในวงการไอที บ้านเราน้อยคนนักจะไม่รู้จัก “กระทิง”-เรืองโรจน์ พูนผล ผู้เป็นทั้งต้นแบบให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หลายคนอยากเดินตาม ด้วยประสบการณ์ของเรืองโรจน์ที่โลดแล่นอยู่ใน ซิลิคอน วัลเลย์ เมืองแห่งไอทีอันดับ 1 ของโลก จากการได้ทำงานที่บริษัทกูเกิล และเป็นหนึ่งในทีมผู้ปั้นโปรเจ็คต์กูเกิลเอิร์ธ (Google Earth) ที่โด่งดัง  รวมถึงการเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Technology Startup บริษัทเล็กๆ ในซิลิค่อน วัลเล่ย์ แต่สามารถระดมเงินทุน 1.1 ล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ 

    วันนี้ เรืองโรจน์ กลับมาเป็นนักปั้นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในกลุ่มดิจิตอล  โดยก่อตั้ง Disrupt University เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ของตนเอง และยังเข้าร่วมกับ โครงการ Dtac Accelerate โครงการที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากผู้ประกอบการหน้าใหม่ในกลุ่มดิจิตอล หรือมักจะถูกเรียกขานกันในกลุ่มว่า Startup กำลังเป็นโมเดลแจ้งเกิด SME รุ่นใหม่ 

    ยิ่งการเติบโตของจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟน ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น ก็ยิ่งทำให้สตาร์ทอัพเติบโตมากขึ้น แต่กระนั้น มีการคะเนกันว่า Startup กลุ่มดิจิตอล คอนเทนต์ในเมืองไทยในวันนี้น่าจะมีอยู่ราว 300 ทีม ขณะที่เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จของธุรกิจกลุ่มนี้มีแค่ 1%  นั่นหมายความว่าจะมีผู้เล่นตัวจริงที่เหลือรอดเพียง 9 ทีมเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่าน ผู้ประกอบการหน้าใหม่กลุ่มนี้จะเริ่มมีเพิ่มมากขึ้นและค่ายโทรศัพท์มือถือต่างลงมาช่วยกันปั้นพวกเขาก็ตาม   

    ทำไมสตาร์ทอัพกลุ่มนี้จึงมีอยู่น้อย และจะทำอย่างไรที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จได้  “กระทิง”-เรืองโรจน์ พูนผล Commercial Director ของ Telenor Digital  มีคำตอบ 

     “สิ่งที่กลุ่มสตาร์ทอัพบ้านเราขาดคือปริมาณ ในตอนนี้เรามีทีมที่เก่งๆ  ไม่แพ้ชาติอื่น  มีบริษัทใหญ่ๆ ให้เห็นอย่างเช่น Ookbee กับ aCommerce ซึ่งบริษัทพวกนี้มูลค่าบริษัทเป็นพันล้านบาท มีรุ่นน้องถัดไปอีกประมาณ 10 กว่าทีม แต่ว่าหลังจากนั้นก็ต้องผลักดันขึ้นมาใหม่” กระทิง กล่าวถึงสถานการณ์ของกลุ่ม Startup ด้านดิจิตอล คอนเทนต์  
  
    อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  โดยส่วนใหญ่ปัจจัยที่ทำให้พวกเขาต้องเจอกับความล้มเหลวมาจาก 3 ปัจจัย คือ 1. สิ่งที่ทำไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา หรือไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่ม หากแต่เป็นเพียงโปรดักต์ที่ไม่มีคนใช้  2. ต้องปฏิบัติให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว และ 3. ต้องใช้เงินอย่างประหยัด กล่าวคือนอกจากทุกๆ วินาทีจะมีค่าแล้ว ทุกบาททุกสตางค์ก็มีค่าด้วยเช่นกัน

    “ไม่ว่าคุณจะลงทุนอะไรก็ตาม คำถามแรกๆ ที่นักลงทุนจะถามคือ คุณจะหาเงินได้อย่างไร ฉะนั้น รูปแบบการทำธุรกิจต้องชัดตั้งแต่แรก  ซึ่งสตาร์ทอัพหลายคน ไม่ได้ถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำสามารถแก้ปัญหาให้ใครสักคนจริงหรือเปล่า มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดไหม นอกจากนี้ ยังต้องมีความเร็วอีกด้วย ยกตัวอย่าง นีล พาเทล ผู้ก่อตั้ง  KissMetrics นักการตลาดผู้ติดท้อปเทนออนไลน์ในโลก บอกเลยว่าเขาใช้เวลา 2 ปีในการสร้างโปรดักต์ ใช้เงินประมาณ 6 ล้านเหรียญ ซึ่งเหมือนกับการเอาเงินมาเทลงในโถส้วมแล้วกดชักโครกทิ้งไป  สตาร์ทอัพไม่ควรใช้เวลานานขนาดนั้นในการสร้างโปรดักต์ ทุกๆอาทิตย์ต้องมีความคืบหน้า  สตาร์ทอัพที่ล้มเหลวบางคนเป็นเพราะเคลื่อนช้าเกินไป  คือจะมีจุดหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เปลี่ยนโปรดักต์ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจทั้งหมดเลย ซึ่งบางคนดื้อไม่ยอมเปลี่ยน  จริงๆ แล้ว การล้มเหลวในวันนี้ย่อมดีกว่าที่จะไปล้มเหลวในอีก 2 ปีข้างหน้า” 

    นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สตาร์ทอัพไทยขาดแคลนอย่างหนักคือ ความรู้ทางธุรกิจ ซึ่งแม้จะมีไอเดียหรือมีความสามารถด้านดีไซน์ขนาดไหน หากไม่มีพื้นฐานทางธุรกิจร้อยทั้งร้อยก็จะไปไม่รอด  

    “บางครั้งทำโปรดักต์ออกมาน่าตกใจมาก ไม่น่าเชื่ออายุเท่านี้ทำโปรดักต์ออกมาได้เจ๋งขนาดนี้ แต่ว่าขายของไม่เป็น เจรจาต่อรองไม่เป็น ก็จบเลย จะบอกว่านี่คือสิ่งที่บ้านเรายังขาดค่อนข้างมาก  นอกจากนี้ ที่เป็นปัญหาไม่ใช่แค่ในประเทศไทยแต่ทั้งอาเซียน  คือเรายังไม่มี original idea ในการทำธุรกิจ คือต้องมีความคิดที่เป็นต้นแบบ ไม่เหมือนใคร  แล้วมีลักษณะเฉพาะกับประเทศไทยหรืออาเซียน แต่มีศักยภาพที่จะไปโตได้ทั่วโลก ที่ผ่านมาก็มักจะก็อปแล้วมาประยุกต์ใช้กับเมืองไทย นี่แหละคือสิ่งที่สตาร์ทอัพบ้านเราขาด”

    ทั้งนี้ หากประเมินภาพรวมจำนวนสตาร์ทอัพจากร้อยเปอร์เซ็นต์ กระทิงบอกว่าน่าจะมีอยู่ราว 20 เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่าในเร็วๆ นี้ น่าจะขยับขึ้นไปที่ 50 เปอร์เซ็นต์ และเพื่อให้การสตาร์ทอัพเติบโตได้เร็วขึ้นทุกภาคส่วนต้องออกแรงช่วยกันสร้างสตาร์ทอัพ

    “สตาร์ทอัพของสิงคโปร์ประกาศเป็นยุทธศาสตร์ แต่สำหรับไทยคิดว่าถ้ามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแหล่งป้อน สามารถผลิตและทำให้นักศึกษาเห็นว่ามีทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่การเป็นแค่พนักงานบริษัท แต่เปิดบริษัทได้ลองผิดลองถูกตั้งแต่อายุ 20 ปีกว่าๆ แล้วการทำสตาร์ทอัพได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ดังนั้น สมมตว่าภาคการศึกษาทำได้ 30% ภาคเอกชนเราทำกันได้ไม่เกิน 30% สุดท้ายรัฐบาลสนับสนุน ให้ 30%  ผมว่า ecosystem น่าจะโตขึ้นเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่า ecosystem ไทยโตเร็วมากอยู่แล้ว” 

Create by smethailandclub.com

RECCOMMEND: TECH

“จุลินทรีย์คึกคัก” นวัตกรรมกำจัดสารเคมีตกค้างบนดิน ตัวช่วยเกษตรกรประหยัดทุน ได้ธุรกิจยั่งยืน

จุลินทรีย์คึกคัก ตัวช่วยแก้ปัญหาสารเคมีตกค้าง สร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกร ด้วยฝีมือคนไทยจากบริษัท ไบโอม จำกัด บริษัทที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงตอบโจทย์การทำธุรกิจแบบยั่งยืน

เทคนิคขายของออนไลน์อย่างไร ให้สต็อกไม่จม ออร์เดอร์ไม่หลุด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วง Double day หรือเทศกาลต่างๆ เป็นโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ได้ตักตวงออร์เดอร์มากกว่าช่วงเวลาปกติ แต่จะทำอย่างไรให้โอกาสเหล่านี้ไม่กลายเป็นวิกฤตสร้างปัญหาทางธุรกิจ เช่น สต็อกจม ส่งของไม่ทัน ทำให้สูญเสียลูกค้าในที่สุด

รู้จักเทรนด์ Hyper Automation ช่วย SME กำจัดงานซ้ำๆ น่าเบื่อให้หมดจากองค์กร

Automation หรือ "ระบบอัตโนมัติ" ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่อนาคตจะพัฒนาไปสู่ Hyper automation เพื่อช่วยกำจัดความยุ่งยากของการทำงานที่ซ้ำซากน่าเบื่อ และก่อนจะสายเกินไป เพื่อให้ธุรกิจตามทันเทคโนโลยี ลองมาทำความรู้จักกับเทรนด์นี้พร้อมกัน