Text: Neung Cch.
ใครจะเชื่อว่าร้านบุฟเฟ่ต์สุกี้ที่ครั้งหนึ่งต้อง “จ้างคนมานั่งกิน” เพื่อถ่ายรูปลงโซเชียล จะกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจอาหารพันล้านภายในเวลาเพียง 8 ปี
จากร้านเล็กๆ ในตึกไม้ 15 โต๊ะเมื่อปี 2561 วันนี้ “สุกี้ตี๋น้อย” ขยายเป็น 87 สาขา ครองใจวัยรุ่น ครอบครัว ไปจนถึงพนักงานออฟฟิศ
สร้างรายได้ 7,075 ล้านบาท และกำไร 1,669 ล้านบาท ภายใต้การบริหารของ เฟิร์น – นัทธมน พิศาลกิจวนิช หญิงสาววัย 25 ปีในวันเริ่มต้น ที่ไม่มีทุนหนา ไม่มีประสบการณ์ด้านร้านอาหาร แต่มี “วิธีคิด” ที่เปลี่ยนสนามบุฟเฟ่ต์ไทยไปตลอดกาล
ถ้าคุณอยากสร้างแบรนด์ที่โตเร็ว แตกต่าง และยั่งยืนเหมือนสุกี้ตี๋น้อย นี่คือบทเรียนธุรกิจ ที่คนทำธุรกิจและผู้บริหารควรรู้
Day One: เห็นในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม
ย้อนกลับไปปี 2561 “สุกี้ตี๋น้อย” ยังเป็นเพียงตึกไม้เล็กๆ มีโต๊ะเพียง 15 โต๊ะ ในมือของผู้หญิงวัย 25 ปีอย่าง นัทธมน พิศาลกิจวนิช (เฟิร์น) ช่วงนั้นทุกอย่างยังเงียบเหงา ต้องพยายามทุกทางเพื่อให้คนรู้จักร้าน “วันแรกต้องจ้างคนมานั่งกินเพื่อถ่ายรูปลงโซเชียล ช่วงแรกๆ วันหนึ่งได้ลูกค้า 50 คนก็ดีใจจนแทบร้องไห้” เธอเล่าย้อนด้วยรอยยิ้ม
เรื่องราวของเฟิร์นสะท้อนบทเรียนสำคัญของธุรกิจใหญ่หลายแห่ง มักเริ่มจากการเห็นสิ่งเล็กๆ ที่คนอื่นมองข้าม เช่นเดียวกับจุดเริ่มต้นของสุกี้ตี๋น้อยไม่ได้อยู่ที่เงินทุนมหาศาล แต่คือการมองเห็น ช่องว่างในตลาดบุฟเฟ่ต์ 199 บาท ที่เต็มไปด้วย Pain Point อาทิ
- ไม่มีที่จอดรถ ไม่มีแอร์
- ลูกค้าต้องบริการตัวเอง
- วัตถุดิบไม่ full option
“เป้าหมายของเฟิร์นตั้งแต่วันแรก คืออยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ถ้าอยากขยายไปทั่วไทยได้ ราคาต้องจับต้องได้คือ 199 บาท เพราะถ้าขาย 600–800 บาท ก็อยู่ได้แค่ในกรุงเทพฯ และถ้าอยากเป็นที่หนึ่ง ต้องทำอะไรที่คนอื่นไม่มี”
ด้วยแนวคิดนี้ เธอจึงสร้างโมเดลสุกี้บุฟเฟต์ 199 บาทที่อัปเกรดครบทุกด้าน ตั้งแต่เพิ่มเนื้อวัว อาหารทะเล มีพนักงานเสิร์ฟถึงโต๊ะ มีแอร์เย็นฉ่ำ จัดที่จอดรถ ทุกอย่างถูกออกแบบเพื่อแก้ Pain Point ของตลาดและสร้าง ประสบการณ์ที่คุ้มค่ากว่าราคาที่จ่าย
ผลลัพธ์คือ บุฟเฟ่ต์ 199 บาทเดิมๆ กลายเป็น 199 บาทที่รู้สึกเหมือนกินในห้าง และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ร้านเล็กๆ กลายเป็นแบรนด์ที่แตกต่างตั้งแต่วันแรก
จาก 1 - 87 สาขา Scaling ที่มาจากการเจ็บจริง
จากสาขาแรก ในปี 2561 ขยายเป็น 6 สาขาในปี 2019 สู่ 13 สาขาในปี 2020 เพิ่มมาเป็น 55 สาขาในปี 2023 และแตะ 87 สาขาในกลางปี 2025
การเติบโตอย่างรวดเร็วของสุกี้ตี๋น้อยหลายคนอาจมองว่าสวยหรู แต่เบื้องหลังเจ้าของแบรนด์ยอมรับว่ามีปัญหาเข้ามาท้าทายตลอด เพราะเริ่มจากลงมือทำเองทุกอย่างตั้งแต่วันแรก ทั้งเสิร์ฟ รับออร์เดอร์ ซื้อวัตถุดิบ เธอจึงเห็นช่องโหว่และปัญหาแต่ละจุดชัดเจน พร้อมแก้ไขทีละเรื่อง
กระทั่งเมื่อธุรกิจเริ่มขยาย เธอไม่สามารถจำชื่อพนักงานได้ทั้งหมด ปัญหาเล็กๆ เหล่านี้กลายเป็นสัญญาณให้เธอหันมาสร้างระบบและมาตรฐาน รองรับการเติบโตในอนาคต
“เวลาเจอปัญหาจะไม่แก้แค่ปัญหาเฉพาะหน้า แต่จะคิดว่าการเจอปัญหานี้เพราะเราไม่ได้ทำอะไรตั้งแต่ต้น”
นั่นคือสัญญาณให้เจ้าของแบรนด์สุกี้ตี๋น้อยค่อยๆ สร้างระบบทีละขั้นตามความจำเป็น อาทิ สร้างทีม HR เพื่อมาดูแลเรื่องเงินเดือน จัดตั้งทีม QA in-house ตรวจสอบมาตรฐานความสดของวัตถุดิบทุกเดือน และจ้าง Audit จากบริษัท Global มาเพื่อสร้างมาตรฐานในระดับสากล
“เฟิร์นคิดไปถึง Global standard เมื่อเราฝันใหญ่ก็ต้องไปหาคนที่เก่ง เอาความรู้จากเขามา match กับ vision ของเฟิร์นที่อยากให้เป็น”
ไม่ทำสงครามราคา แต่ทำสงคราม “Value”
อาจเพราะมาทีหลังและเปิดราคาที่ 199 บาท ทำให้หลายคนติดภาพว่า “สุกี้ตี๋น้อย = ร้านถูก” แต่ความจริงคือแบรนด์นี้ไม่เคยลงสนามแข่งด้วยราคาเลย เจ้าของแบรนด์เชื่อมาตั้งแต่ต้นว่า สงครามราคาไม่ยั่งยืน คู่แข่งอาจล้ม แต่แบรนด์ก็จะไม่รอดเช่นกัน สิ่งที่เธอเลือกคือ “สงคราม Value” ราคาคงที่ 199 บาท (ปรับขึ้นเพียง 20 บาทตอนต้นทุนพุ่ง) แต่สิ่งที่ลูกค้าได้รับกลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเมนูใหม่ เนื้อออสเตรเลีย น้ำจิ้มสูตรทำเอง หรือแม้แต่ครัวกลางเกือบพันล้านบาทที่ลงทุนเพื่อคุมคุณภาพและรองรับการขยายสาขาในอนาคต
“เรามีตัวเลขรองรับทุกการตัดสินใจ ไม่คิดสั้นๆ ว่าแค่ทำอะไรแล้วได้ยอด แต่คิดเสมอว่า End goal คืออะไร สิ่งสำคัญคือการเพิ่ม ‘ความคุ้มค่า’ ให้ลูกค้า ถ้าวันหนึ่งลูกค้าแฮปปี้ เขาก็จะกลับมาหาเราเรื่อยๆ”
แนวคิดนี้สะท้อนออกมาจากคำพูดของลูกค้าหลายคนมากินสุกี้ตี๋น้อยแล้วพูดเล่นว่า ‘ร้านนี้ต้องเจ๊งแน่ ๆ ถูกเกินไป’ ซึ่งสำหรับเธอ นี่คือคำชมที่ชอบที่สุด เพราะมันแปลว่าลูกค้ารู้สึกว่าได้รับมากกว่าที่จ่ายจริงๆ และนั่นคือสิ่งที่แบรนด์อยากมอบให้
เปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่น
เมื่อเผชิญกับเจ้าตลาดที่ครองมานานกว่า 30–40 ปี หลายคนอาจคิดว่ารายเล็กไม่มีทางสู้ได้ แต่เฟิร์นกลับเจอ “ช่องว่าง” ที่ยักษ์ใหญ่ขยับช้า และใช้จุดนั้นเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของสุกี้ตี๋น้อย — ความยืดหยุ่นและความกล้า
ยืดหยุ่น ตัดสินใจเร็ว ทำวันนี้ พรุ่งนี้เริ่มได้ ไม่ถูกกดดันด้วยเงื่อนไขจากตลาดทุน
กล้า ยอม “เสียกำไรบางส่วน” เพื่อซื้อใจลูกค้า
“บางครั้งเอาเนื้อออสเตรเลียเข้ามา กำไรหายไปบ้างก็ไม่เป็นไร ขอแค่ลูกค้า Happy และรู้สึกว่าได้ Value มากกว่าเงินที่จ่าย”
การไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ระยะสั้น กลายเป็นอาวุธลับที่ทำให้แบรนด์เล็กอย่างสุกี้ตี๋น้อยสามารถวิ่งแซงรายใหญ่ได้ในสนามจริง
เน้นธุรกิจที่ยั่งยืน
สำหรับเฟิร์น เป้าหมายระยะยาวไม่ใช่แค่ความสำเร็จชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือ ความยั่งยืน
เธอมักบอกทีมเสมอว่า อย่าบอกว่าร้านเราคือบุฟเฟต์ถูก แต่ให้บอกว่าร้านเราคือบุฟเฟต์คุ้มค่า
เพราะในวันที่เศรษฐกิจบีบลูกค้า สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุด แต่คือการรู้สึกว่า “สิ่งที่ได้มากกว่าสิ่งที่จ่าย”
นี่คือจุดยืนที่จะพาแบรนด์จากร้านดัง ไปสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี