ละเลียดวิธีคิด สุรชัย พุฒิกุลางกูร Illustrator ไทย ผู้ยืนหนึ่งเวทีโลก

Text: VaViz

Photo: Illusion CGI Studio


     หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่เคยโดนหัวเราะมาก่อนว่า “ไอเดียที่อยากทำนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก” อย่าเพิ่งท้อไป เพราะ สุรชัย พุฒิกุลางกูร ผู้ก่อตั้ง และ CEO แห่ง Illusion CGI Studio สตูดิโอผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตงาน Computer-Generated Imagery หรือ CGI ซึ่งเป็นการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์โดยที่ไม่ต้องถ่ายรูป ที่มีชื่อเสียงระดับโลกนั้นก็เคยได้รับการสบประมาทแบบเดียวกันนี้มาก่อน

     แถมยังก้าวขึ้นเป็น Illustrator หรือนักสร้างสรรค์ภาพโฆษณาตัวพ่อ ที่กวาดรางวัลจากเวทีโฆษณาทั่วโลกมากว่า 3,000 รางวัล รวมถึงรางวัล Cannes Grand Prix ครั้งแรกของเอเชียจากผลงาน “Heaven and Hell” ซึ่งร่วมมือกับ JWT Shanghai ในปี 2011 และสตูดิโอของเขายังได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 ของโลกติดต่อกันถึง 11 ปี จากนิตยสาร Lürzer’s Archive ซึ่งเป็นนิตยสารชั้นนำของโลกในวงการโฆษณาและการสร้างสรรค์เชิงพาณิชย์  

ผีเสื้อขยับปีก...เริงร่าทีหลังบินได้ไกลกว่า    

     หากวันนั้นน้อยใจในเสียงขำขันของคนรอบข้าง วันนี้เราคงไม่ได้เห็นคนไทยที่ได้ทำงานกระทบไหล่แบรนด์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกเช่นนี้ ที่สำคัญ สุรชัย ยังมองทะลุไปถึงแก่นของความเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ครั้งหนึ่งเคยอ่านขาดมาแล้วว่า โลกจะเปลี่ยนจากการใช้ระบบ Analogue ไปสู่ระบบดิจิทัล พร้อมทำการทรานส์ฟอร์มตัวเองก่อนใคร เมื่อ Adobe วางแผนที่จะพัฒนาโปรแกรม Photoshop ให้คนทั่วไปใช้งานได้ง่ายๆ

     “เพราะมองออกแล้วว่า ต่อไปในอนาคตทุกคนจะใช้ Photoshop ได้ง่ายๆ จึงกลายเป็นจุดตั้งต้นให้เราทำการ Disrupt ตัวเอง ด้วยการตั้งบริษัท Illusion CGI Studio ขึ้นมาเมื่อ 24 ปีที่แล้ว และทำงาน CGI ที่ใครๆ ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากนั้นเราก็ประสบความสำเร็จกับการใช้ CGI ในการทำโฆษณา”

     การทำธุรกิจนั้นก็เหมือนกับวงจรผีเสื้อ ที่เริ่มตั้งแต่เป็นไข่ ตัวหนอน ดักแด้ และผีเสื้อ โดยในแต่ละช่วงจะมีรูปทรงและวิถีชีวิตแตกต่างกันไป แต่เหนือสิ่งอื่นใด “เราต้องรู้ตัวว่า เรานั้นเป็นหนอนที่สักวันพร้อมจะเป็นผีเสื้อ” เพื่อเตรียมตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง

    “การไปดูงานของ Adobe ที่บอกว่าเขาจะพัฒนา Photoshop ให้คนทั่วไปใช้ได้ง่ายๆ นั้น ทำให้เราคิดได้ว่าเครื่องมือที่เราใช้ทำมาหากินในขณะนั้นจะถูกเปลี่ยนผ่านไปให้ใครใช้ก็ได้ นั่นหมายความว่า โอกาสในอนาคตของเราจะไม่มี บวกกับการที่เริ่มมองแล้วว่า CGI จะมา จึงเริ่มปรับทิศทางของบริษัทให้ทำ CGI ดังนั้น การเห็นวงจรธุรกิจว่าเป็นอย่างไร จึงทำให้เราปรับตัวได้ทัน”

    เท่านั้นไม่พอ Illustrator มือทองผู้นี้ ยังคาดการณ์อีกว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้าหรือแม้แต่ตอนนี้ เราจะมีปัญหากับ AI เช่น ไม่ว่าใครก็เจนภาพออกมาเหมือนกันหมด โดยที่เราไม่สามารถที่จะเจนภาพให้มีเอกลักษณ์ในแบบของเราเอง หรือควบคุมมันได้ เพราะเราไม่เข้าใจมัน  

     “เหตุนี้เองเราจึงคิดค้นทำโปรแกรมสร้างภาพด้วย AI ผ่านวิธีคิดแบบใหม่ที่ไม่เหมือนโปรแกรมไหนในโลกเอาไว้ใช้เองในชื่อว่า Bloomark ซึ่งจะแตกต่างจาก AI ทั่วไปที่จะเป็นแบบ Text to Image ที่คนมักจะสนใจแค่ Text หรือ Prompt ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เราวิ่งไปในทางเดียวกันหมด ดังนั้น ถ้าเปรียบ Text เหมือนพ่อ Image เหมือนลูก สิ่งที่ขาดหายไปก็คือแม่หรือ Seed ใน System ของการทำ AI นั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อไรที่เราสนใจแค่ Prompt แต่ไม่สนใจว่า Seed คืออะไร งานที่ได้ออกมาก็ไร้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์”

    การขยับจากการทำ Photo Retouching หรือการรีทัชภาพสู่การทำ CGI จวบจนการทำระบบ AI ของตัวเองนับว่าเป็นการทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของการทำธุรกิจให้โตแบบ Global   

 

ใส่ใจทุกดีเทล...พาแบรนด์ผงาดยืนหนึ่ง

    สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างจากคนอื่น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่ แต่เป็นเรื่องของดีเทลเล็กๆ ที่ใครๆ ก็มองข้าม สุรชัย กล่าวพร้อมเอ่ยชวนว่า หากใครได้มีโอกาสไปเห็นงานของ Illusion CGI Studio จะเห็นว่าเป็นงานที่ลงดีเทลรายละเอียดมากๆ นั่นเพราะสิ่งที่เราสนใจคือรายละเอียดที่สร้างความแตกต่างนั่นเอง

     “เรายึดหลักทฤษฎีที่เรียกว่า ความสุขระดับตารางนิ้ว  ซึ่งหมายความว่านอกจากจะใส่ใจรายละเอียดแล้ว เรายังใส่ความสุขและความใส่ใจลงไปในงานทุกตารางนิ้ว ซึ่งจะทำให้เราสามารถทำงานให้แตกต่างจากคนอื่นได้ เช่น งานที่เราทำกับซีรีส์ Game of Thrones ซึ่งเป็นงานที่มีดีเทลรายละเอียดเยอะมาก โดยเราสามารถเซอร์วิสลูกค้าใน Time Zone ที่ต่างกันได้ จนทำให้เขารู้สึกว่าเรานั่งอยู่ใกล้ๆ เขาเลยทีเดียว”  

     นอกจากจะมองว่าระยะทางไม่ใช่ปัญหาของการทำธุรกิจแล้ว การมองหาสิ่งที่ไม่มีใครเห็นยังเป็นอีกหนึ่งอาวุธหลักที่ทำให้ Illusion CGI Studio เข้าไปครองใจลูกค้าได้ไม่ยาก

     “หลังจากคว้ารางวัลที่เมืองคานส์ในปี 2012 เราคิดว่าต้องมีงานไหลมาจากทุกทิศทุกทางทั่วโลก แต่ผ่านไป 1 ปี กลับมีเพียงงานที่มาจากเอเชียเท่านั้น เราจึงไปออกบูธที่คานส์ แต่ไม่มีใครในทีมพูดภาษาอังกฤษได้เลยต้องจ้างนักเรียนไทยที่ไปเรียนที่ฝรั่งเศสมาเป็นล่ามให้ ปีต่อมาเราแก้ปัญหานี้ด้วยการหาทีมที่พูดภาษาอังกฤษได้ที่เป็นทีมของเราเอง”

     สุรชัย เสริมว่า สมัยนั้นในวงการ Production House ส่วนใหญ่เขาจะไม่ได้ไปเปิดบูธกันแบบที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ แต่เขาจะใช้นามบัตรใส่ไว้บนงานที่เขาได้รางวัล แล้วคนจัดงานจะวิ่งเข้าหาเขา ดังนั้น การไปเปิดบูธของบริษัทที่เหมือนกับเป็นมิติใหม่นั้น จึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

    “อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ค่าใช้จ่ายในการไปออกบูธแต่ละครั้งสูงถึงกว่า 1.5 ล้านบาท เราจึงต้องมองหาวิธีอื่น จนนำไปสู่การศึกษา Ranking ของโลกที่จัดอันดับโดยนิตยสาร Lürzer’s Archive อย่างจริงจัง และทำการเพิ่มศักยภาพของผลงานจนได้เป็นที่ 1 ติดต่อกันยาวนานถึง 11 ปี ดังนั้น เวลาที่จะทำการแข่งขัน เราต้องมองไปให้ไกล เราต้องมองไปให้ล่วงหน้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

สร้างสูตรชนะซ้ำๆ...สำเร็จได้แบบซ้อนๆ

     พบเจ้าหนูจำไมอีกหนึ่งอัตรา เมื่อ สุรชัย ในวัยเด็กมักมีคำถามว่า “ทำไมนักกีฬาหรือทีมที่เป็นแชมป์มักจะชนะซ้ำๆ ถ้าโอกาสในโลกนี้มันเท่ากัน ทำไมถึงไม่เวียนกันเป็นแต่ละทีมๆ ล่ะ” ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครให้คำตอบได้ เขาจึงพยายามต่อไปที่จะค้นหาว่า ถ้ามันทำซ้ำได้ มันต้องมีวิธี แล้ววิธีนั้นมันคืออะไร?

     “ความสำเร็จและความล้มเหลวนั้นมีมิติของมัน ถ้าเราเข้าใจ เราก็จะรู้ว่าต้องจัดการอย่างไร อีกทั้งยังมีเรื่องของขนาดเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ขนาดจังหวัด ประเทศ ทวีป หรือระดับโลก รวมถึงเรื่องของน้ำหนัก เช่น เบื้องหลังของเหรียญรางวัลที่แขวนคอนั้น มีใครช่วยแบกอยู่บ้าง ยิ่งทำงานระดับใหญ่ขึ้น เราจะยิ่งเข้าใจและรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ว่า และสุดท้ายเรื่องของเวลา ที่ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวจะทิ้งร่องรอยไว้ให้เสมอ”

     ทั้งนี้ ความล้มเหลวจะทำให้เรากลัว ในขณะที่ความสำเร็จจะอยู่กับเราเพียงชั่วครู่ ซึ่งเราต้องรู้ว่ามันจะหยุดลงเมื่อไร ซึ่งเราจะชนะได้ก็ต่อเมื่อจัดการกับโอกาส ความกลัว และความพร้อม(ที่ไม่มีอยู่จริง) ให้ได้

     “วิธีที่จะทำให้เป็นแชมป์นั้นง่ายมากคือ เราต้องรู้ว่านี่คือโอกาสใช่ไหม เราก้าวผ่านความกลัวนั้นได้หรือเปล่า และเรามีความพร้อมแค่ไหน แต่การที่จะเป็นแชมป์ให้ได้หลายๆ ครั้งนั้นต้องดูเรื่องของทีม ซึ่งไม่ใช่การรวมคน แต่คือการสร้างคน หาคน และดูแลคน โดย 10 ปี เราจะหาคนเก่งได้ 1 คน หาคนนั้นให้เจอ ในทีมของเรามีไหม แล้วเรารักษาเขาไว้ได้นานแค่ไหน อย่างที่ Illusion CGI Studio เรามีทีมที่มีอายุการทำงานเป็นทีมเดียวกันมานานมาก เพราะฉะนั้น วิธีการทำงาน และระบบการทำงานจึงสามารถรันอย่างต่อเนื่องได้”  

     นอกจากนี้ จะสำเร็จซ้ำๆ ยังต้องดูเรื่องของ System คุณภาพเวลา เช่น ทุกกีฬาเวลาเปลี่ยนโค้ช พอโค้ชคนใหม่เข้ามาจะหาว่านักกีฬาคนไหนเก่งสุด และสร้าง System ล้อมรอบนักกีฬาคนนั้นไว้

     “เราก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ช่วงแรกๆ ตอนที่ผมทำงาน ผมจะสร้าง System ให้คนทำงานขึ้นตรงกับผมทั้งหมด แต่พอเริ่มมีน้องในบริษัทเก่งขึ้น ผมก็ต้องออกแบบระบบใหม่ให้ทุกคนทำงานซัพพอร์ตเขา เพราะเมื่อคนเก่งเก่งขึ้น เขาจะฉุดคนข้างๆ ขึ้นมาด้วย ดังนั้น เมื่อเจอวิกฤตอย่างตอน COVID-19 เราถึงยังทำงานได้แบบมีประสิทธิภาพ แม้จะเดินทางไม่ได้ แต่เราก็ไม่เคยส่งงานลูกค้าเลยกำหนดเลยสักครั้ง สิ่งนี้จึงชี้ให้เห็นว่าคุณภาพของเวลานั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของคน”   

     เรื่องสุดท้ายที่จะต้องดูคือ เรื่องของ Know-how หรือคุณภาพของงานที่จะเป็นสิ่งที่บอกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และจะกลายไปเป็นผลงานอ้างอิง หรือ Reference ให้กับคู่แข่งหรือไม่  

     “เราต้องทำงานของเราให้เป็นต้นแบบน้ำซุปของโลก เหมือนแรกๆ ที่ลูกค้าจะเอาตัวอย่างงานของคนอื่นมาให้เราดู มันเหมือนเราต้องชิมน้ำซุปของคนอื่นตลอด แล้วต้องบอกให้ได้ว่ามันผสมไปด้วยอะไร ซึ่งทำให้รู้สึกอึดอัดมาก เพราะฉะนั้น เราต้องสร้างสิ่งที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ โดยทำให้วิธีการทำงานนั้นซับซ้อนที่สุด พอคนอื่นได้งานเราไปเป็น Reference เขาจะชิมแล้วไม่รู้ว่าเป็นอะไร หรือใช้วัตถุดิบไหน ดังนั้น ในการทำงานทุกครั้งเราจะศึกษาว่า คู่แข่งของเราถนัดอะไร เขาเก่งเรื่องอะไร เพื่อสร้างความเข้าใจและพัฒนา Know-how ของเรา”

เปลี่ยนก่อน...เป็น Winner ก่อน

     ก่อนจากกันไป สุรชัย ทิ้งท้ายว่า วิธีคิดเหล่านี้อาจเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ เราจะทำอย่างไรกับมันต่างหาก ลองคิดดูว่าธุรกิจของเราได้ทำในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้วหรือไม่ หรือรู้หรือไม่ว่าการมองเทรนด์นั้นไม่ใช่การมองไปข้างหน้า แต่เป็นการมองย้อนไปข้างหลัง

     “ที่สำคัญ สิ่งที่เรามองเห็นนั้นต่างจากคนอื่นหรือยัง เรามองไปในดีเทลในงานหรือในธุรกิจหรือเปล่า เรามี Insights ของลูกค้ามากพอไหม เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องทำ นอกจากนี้ เราต้องคิดว่าธุรกิจของเราจะอยู่ไปนานแบบนี้ คงสภาพแบบนี้ไปนานเท่าไร จะมีใครมา Disrupt เราไหม สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจต้องคิด”

“ผมทำงานบนความกลัว

กลัวว่าอะไรจะมาแทนในธุรกิจของเราไหม

หรือว่าจะมีเครื่องมืออะไรใหม่ๆ เข้ามาให้ใช้หรือเปล่า”

     "ก่อนหน้านี้ผมเชื่อว่ามีเรือและเครื่องมือหาปลาที่ดี แต่ในช่วง 10 - 20 ปีที่ผ่านมานี้ มีคนที่ใช้เรือหาปลาเหมือนเรา วันหนึ่งพอน้ำลด เราได้เห็นคนๆ หนึ่ง หรือคนกลุ่มหนึ่งมาทอดแหแล้วได้ปลาไป ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ คนที่มาทอดแหเหล่านั้นคือลูกค้าที่เคยซื้อปลาของเรา สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องสังเกต เพราะโลกจะเป็นแบบนี้ จากที่เราเคยทำได้ มีคนเคยมาซื้อเรา ต่อไปเขาก็จะทำได้เหมือนกัน แล้วเราจะไปขายใคร”

“ดังนั้น สิ่งที่จะต้องทำคือ Disrupt ตัวเองให้เร็วกว่าที่คนอื่นคิด

มองไปให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

หาเครื่องมือใหม่ให้ทัน

สร้างทีม หาคนเก่งในรอบ 10 ปีให้เจอ และรักษาไว้ให้ได้

และอย่าลืมว่า ทุกความฝันนั้นมีค่าใช้จ่ายเสมอ”

     ที่มา: งานสัมมนา Digital SME Conference Thailand 2025  

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

เมื่อคำว่า “Luxury” สิ้นมนต์ขลัง สูตรลับใหม่แบรนด์ระดับโลก ทำให้สินค้าดูแพงโดยไม่ต้องพูดว่าหรู

ทำไมแบรนด์หรูระดับโลก ตั้งแต่ Hermès,Porsche และ LVMH ถึงเลิกพูดคำว่า Luxury และเริ่มใช้กลยุทธ์ใหม่ในการสร้าง “ความพิเศษ” ..นี่คือสูตรลับที่แบรนด์ระดับโลกกำลังใช้  กลยุทธ์ที่ทำให้สินค้าดูแพงขึ้น แม้ไม่ต้องพูดคำว่า Luxury

Top Table บาร์ปิงปอง มิติใหม่การแฮงค์เอาท์ เมื่อโค้ชกีฬาผันตัวมาทำธุรกิจ ฮอต! จนคืนทุนได้ใน 2 เดือน

จะดีกว่าไหมถ้าคุณสามารถดื่มแฮงค์เอาท์กับเพื่อน ขณะเดียวกันก็ได้ออกกำลังกาย มีเกมสนุกๆ ให้เล่นได้ด้วย “Top Table” บาร์ปิงปองแห่งแรกของสิงคโปร์ ที่ผสมผสานระหว่างกีฬา การดื่ม และพบปะสังสรรค์ได้อย่างลงตัว

BaanRung จากโรงเก็บของสู่คาเฟ่ตัวท็อป สูตรลับธุรกิจที่เริ่มได้แม้ไม่มีทุนมหาศาล

หลายธุรกิจไม่ได้เริ่มต้นจากทุนมหาศาลหรือทำเลทอง แต่เริ่มจาก พื้นที่เล็กๆ หน้าบ้าน ดังเช่น “บ้านรุ่ง” ที่เปลี่ยนพื้นที่เล็กๆหน้าบ้านที่ถูกมองข้ามให้กลายเป็นคาเฟ่ที่มีกลิ่นอายของความโฮมมี่