ชวพล ลีพิพัฒน์ไพบูลย์ อดีตวิศวกรผู้หมดไฟ สู่เจ้าของ Shindo Ramen ร้านราเมนเล็กๆ ที่ได้ไปยืนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ญี่ปุ่น

Text : Jeacy Su.

Photo : Sunun Lorsomsab


    “ผมเริ่มรู้จักราเมนจริงๆ เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ถึงจะเปิดร้านมากว่า 8 ปีแล้ว”

     เสียงของชายหนุ่มพูดด้วยความถ่อมตนและซื่อตรง บ่งบอกถึงเส้นทางชีวิตที่ไม่ได้ถูกขีดไว้ด้วยเป้าหมายยิ่งใหญ่ตั้งแต่ต้น หากแต่เต็มไปด้วยการเดินทางด้วยหัวใจ จากการเรียนรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อจะเข้าใจสิ่งที่รักให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น และสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง

     โจ-ชวพล ลีพิพัฒน์ไพบูลย์ อดีตวิศวกรที่ผันตัวเองจากภาวะ Burnout ในชีวิตการทำงาน มุ่งหน้าสู่ญี่ปุ่น เขาไม่รู้อะไรมากไปกว่าแค่ความรู้สึกอยากเริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่ตัวเองหลงใหลสักอย่าง

     ใครจะคิดว่าจากการตัดสินใจในวันนั้นจะนำพาเขาเข้าสู่โลกของราเมน อาหารต้นตำรับของญี่ปุ่น ที่ได้สร้างโอกาสให้กับชีวิตมากมาย

     เพราะหากจะถามหามือทำราเมนอันดับต้นๆ ของประเทศในวันนี้ เขา คือ หนึ่งในคำตอบ แถมเร็วๆ นี้ยังได้รับเกียรติให้ไปเปิดร้านที่ Shin-Yokohama Ramen Museum ที่ญี่ปุ่นเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม เป็นร้านแรกของเอเชียก็ว่าได้ เพราะคงไม่มีใครกล้าบ้าดีเดือดพาตัวเองไปแข่งขันชิงแชมป์ทำราเมนกับประเทศต้นตำรับ จนได้รับคำยกย่องชื่นชม ไปทำความรู้จักกับเขากัน

จากเมนูกู้ชีพ สู่การตกหลุมรักเส้นแป้งสาลี

     ตอนที่ตัดสินใจเดินทางไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่น โจไม่ได้มีเป้าหมายอยากจะเป็นเชฟ หรือเป็นเจ้าของร้านราเมนระดับโลก เขาเพียงต้องการ Set Zero เพื่อเริ่มต้นค้นหาตัวเองอีกรอบ จากความเป็นญี่ปุ่นที่หล่อหลอมเขาตั้งแต่เด็ก จนโตจากหนังสือการ์ตูน, เกม, หนัง ฯลฯ และหาราเมนราคาถูกๆ กินให้อิ่มท้องในวันที่ทำงานพาร์ทไทม์และต้องประหยัด

     แต่พอยิ่งได้ลิ้มรสชาติของราเมนมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความซับซ้อนของราเมน อาหารที่คนทั่วไปอาจมองว่าธรรมดา แต่สำหรับเขามันกลับเต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทุกร้าน ทุกรสชาติ ทุกวิธีคิด

     “การอยู่ญี่ปุ่นค่าครองชีพค่อนข้างสูง ราเมน คือ อาหาร 1 มื้อที่กินแล้วสามารถอิ่มได้เลย จึงตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผมในตอนนั้นมาก จากกินบ่อยๆ ก็เริ่มเป็นตกหลุมรัก ผมสังเกตเห็นว่าแต่ละร้านไม่เหมือนกันเลย เป็นอาหารที่มีเสน่ห์ สร้างตัวตน เอกลักษณ์ของแต่ละร้านได้ชัดเจน จนเริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน เริ่มศึกษาและอินมากขึ้น จนถามตัวเองว่าหรือนี่คือ สิ่งที่เรากำลังตามหา ผมนอนคิดอยู่ 3 คืน ระหว่างกลับไปทำอาชีพเดิมกับเลือกเส้นทางนี้ ในที่สุดก็ได้คำตอบให้ตัวเอง เพราะไม่อยากย้อนไปรู้สึกแบบเดิมๆ ก็เลยเลือกเส้นทางใหม่”

     แน่นอนว่าไม่ง่าย นอกจากต้องรวบรวมความกล้าที่จะทำเรื่องยากบนเส้นทางเดินใหม่แล้ว โจยังต้องยืนหยัดและตอบคำถามกับคนรอบข้างอย่างชัดเจนด้วยว่า “แน่ใจเหรอที่จะมาทางนี้”

     จนเมื่อกลับไทย เขาตัดสินใจเปิดร้านเล็กๆ ขึ้นมา ในจังหวัดนครปฐมชื่อว่า Shindo Ramen” แปลว่า “วิถีใหม่” โดยที่แทบไม่มีความรู้หรือประสบการณ์มาก่อน ความรู้ทั้งหมดล้วนมาจากการค้นคว้า ทดลอง และทำซ้ำๆ ด้วยตัวเอง

     “ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีใครทำราเมนแบบสเปเชียลตี้ หรือ Craftsmanship มากนัก ยังไม่ค่อยมีใครจริงจังกับการใช้แป้ง เครื่องปรุง หรือซอสญี่ปุ่นขนาดนั้น ผมเองก็ยังไม่เก่ง แค่รู้ว่าอยากทำให้มันดีมากที่สุดเท่าที่ทำได้”

“เส้น” และ “น้ำซุป” หัวใจสำคัญ

     จากแนวคิดที่เล่ามา ภาพของ Shindo Ramen จึงไม่ใช่ร้านราเมนที่ใหญ่โต หรือตกแต่งหรูหรา แต่เป็นร้านราเมนเล็กๆ ที่ค่อยๆ เติบโตจากแพชชั่นและความพยายามในการเข้าใจวัตถุดิบ

     โจอธิบายว่า หัวใจสำคัญของราเมนมีสองอย่าง คือ “เส้น” และ “น้ำซุป” และทั้งสองอย่างนั้นไม่มีสูตรตายตัว

     เขาเล่าว่า การทำราเมนก็เหมือนการชิมไวน์ โชยุหนึ่งขวดอาจมาจากกระบวนการบ่มที่ต่างกัน แม้จะดูเป็นซอสถั่วเหลืองเหมือนกัน แต่ก็ให้รสชาติที่ไม่เหมือนกันเลย และถ้าไม่ชิม ไม่เข้าใจ ก็ไม่มีวันรู้ว่าทำไมต้องเลือกขวดนี้มาทำเมนูนี้

    การได้มากินราเมนสักชามที่ Shindo Ramen จึงเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ ที่อาจมองเห็นไม่ได้ด้วยตา  แต่รู้สึกได้เมื่อกินเข้าไป

ไม่ได้คิดไปไกล แต่ก็ดังไกลถึงญี่ปุ่น

    โจเล่าว่าจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นหลังเปิดร้านมาได้ 5 ปี เมื่อเขาได้รับคำชวนให้กลับไปญี่ปุ่นอีกครั้ง จากรุ่นน้องเพื่อไปถ่ายทำรายการเยี่ยมชมร้านราเมนหลายแห่ง ทำให้ได้เปิดโลกและเปิดใจให้ได้กลับไปรีเช็กกับสิ่งที่ทำมาอีกครั้งว่า “ถูก” หรือ “ผิด”

     “เหมือนเราได้กลับไปส่งการบ้านให้คุณครูตรวจว่าสิ่งที่ทำมาตลอดด้วยตัวเองนั้น มันมาถูกทางแล้ว หรือมีอะไรที่ผิดพลาด ทำให้ได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น และนำมาปรับปรุงพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น”

     หลังจากกลับมา โจได้ร่วมมือกับรุ่นน้องคนสนิทที่มีแพสชั่นในการทำราเมนเหมือนกัน จนถึงขั้นลงทุนซื้อเครื่องทำเส้นราคาหลักล้านบาทมาใช้ ซึ่งต่อมาภายหลังได้กลายเป็นพาร์ตเนอร์กัน เพื่อเริ่มต้นทดลองใหม่อีกครั้ง ด้วยความมั่นใจและเข้าใจมากขึ้น ภาพการทำราเมนของเขาในครั้งนี้จึงดูสนุกมากยิ่งขึ้น มีการทดลองใช้วัตถุดิบใหม่ๆ ลูกค้าเองก็ได้สนุกกับการทดลองชิมรสชาติใหม่ๆ ไปด้วย

     ความเปลี่ยนแปลงนี้เอง ทำให้เขาเริ่มถูกจับตามองโดยวงการราเมนญี่ปุ่น และในที่สุดเขาได้รับโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตกับการเชิญให้เข้าร่วมทดสอบเพื่อไปแข่งขันชิงแชมป์ทำราเมนที่ญี่ปุ่น จนในที่สุดได้เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายของการแข่งขันทำราเมนระดับประเทศในญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า “Ramen Contest – Road to The Ramen Museum : Turning Dreams into Reality” นับเป็นคนไทยหรือคนเอเชียรายแรก ยกเว้นประเทศต้นตำรับอย่างญี่ปุ่นที่ได้ก้าวสู่เวทีนั้น

     “หลังกลับมาจากญี่ปุ่นรอบนั้น ผมกับน้องหุ้นส่วนก็เริ่มพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงการราเมนของญี่ปุ่นมากขึ้น เราเริ่มมีการสั่งซื้อวัตถุดิบใหม่ๆ มาทดลองทำ เวลาเขามีจัดอบรมพิเศษ ก็เริ่มขอไปเรียนด้วย ไปวนเวียนให้เขาเห็น จนเขาเริ่มสงสัยว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ เราเป็นใคร ทำไมถึงได้สนใจหรือสั่งซื้อวัตถุดิบพิเศษ เช่น แป้งสเปเชียลตี้มาใช้ ก็เลยเรียกเราไปคุยที่ญี่ปุ่น เราก็ได้โอกาสถ่ายทอดแนวคิดออกไปให้เขารู้ จนในที่สุดเขาเลยชวนให้มาลองทดสอบฝีมือกันหน่อยไหม โดยให้โจทย์กลับมาคิด จนในที่สุดเราก็สามารถสอบผ่านการคัดเลือก จนได้เข้าไปแข่งขันเป็น 8 ทีมสุดท้าย”

    จากผลการแข่งขัน แน่นอนว่าโจและหุ้นส่วน ไม่ได้รับชัยชนะกลับมาแต่อย่างใด

    แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็น “รางวัลที่ยิ่งใหญ่กว่า” เมื่อคุณ Iida San (Iida Shota) มือวางด้านราเมนอันดับหนึ่งของโลก ได้เชิญเขาใหไปเรียนรู้วิธีการทำงานในร้านเป็นเวลา 1 วัน เป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า “คุ้มแล้วที่เกิดมาวันนี้”

     “เหมือนเราเคยเปิดหนังสือดู แล้วเห็นไอดอลที่ชื่นชอบ ซึ่งสมัยก่อนที่ศึกษาการทำราเมนใหม่ๆ ผมได้เห็นเขาอยู่ในหนังสือที่เราอ่าน แต่ในวันนี้เราได้เจอตัวจริง แถมยังได้รับโอกาสอันมีค่า ได้เรียนรู้ประสบการณ์ทำงานจากเขาโดยตรง แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วครับ ที่ได้เกิดมาวันนี้”

หนึ่งปีต่อมากับสิ่งที่ไม่คาดคิด

    หนึ่งปีหลังการแข่งขันจบลง ในวันที่ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติเหมือนเช่นเคย โจได้รับโทรศัพท์จากญี่ปุ่น เชิญเขาให้ไปเปิดร้าน Shindo Ramen ที่พิพิธภัณฑ์ราเมนญี่ปุ่น (Shin-Yokohama Ramen Museum) เป็นเวลา 1 ปี โอกาสนี้มีมูลค่าพอๆ กับรางวัลของผู้ชนะอันดับ 1 ซึ่งเขาเป็นร้านแรกจากเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ที่ได้รับเกียรตินั้น

     ไม่ต้องเดาว่าเขาจะตอบรับยังไง หรือดีใจมากแค่ไหน เป็นอีกครั้งที่เขาเรียกว่า เกินฝันไปมาก

    “มันเกินจากความฝันไปมากจริงๆ เอาจริงตั้งแต่วันแรกที่เปิดร้าน ผมไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องไปให้ถึงญี่ปุ่น แต่วันนี้กลับได้รับโอกาสที่ดี ซึ่งผมไม่ใช่คนชนะด้วยซ้ำ แต่กลับได้รับโอกาสนั้น เป็นเพราะเขาเห็นในความพยายามและตั้งใจจริงของเรา”

     สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งไปกว่านั้น คือ เขายังได้รับการช่วยเหลือจาก คุณ Shiori San (Shiori Sano) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการตัดสินและบุคคลสำคัญของวงการราเมนญี่ปุ่น เข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ ช่วยบริหารร้านสาขาที่ญี่ปุ่น เนื่องจากเขาต้องดูแลร้านหลักที่ไทย โดยจะเปิดตัวขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ที่จะถึงเร็วๆ นี้

     “ที่มาถึงจุดนี้ได้ ต้องขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ลูกค้า ที่ให้การสนับสนุนมาตลอด ร่วมลงทุนไปด้วยกับเรา เวลามีอะไรใหม่ๆ เข้ามา ก็มาช่วยทดลอง ทำให้การลงทุนของเราไม่สูญเปล่า ถ้าทำไปแล้ว แต่ไม่มีการตอบสนองจากลูกค้า ก็เหมือนเราเล่นอยู่คนเดียว แต่นี่ทุกคนไปด้วยกัน เลยทำให้เราแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ”

ธุรกิจที่ไม่ตั้งต้นจากตัวเลข แต่เริ่มจากความรัก

     จนมาถึงวันนี้ เมื่อถามว่าอะไร คือ สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ โจให้แง่คิดจากประสบการณ์ของเขาว่า

     “อยากให้มีความรักและชอบก่อน เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นตัวเรา อย่างน้อยก็ยังมีลุ้นว่าจะสำเร็จ มากกว่ากระโดดเข้าไปทำโดยไม่รู้อะไรเลย ที่สำคัญ คือ ถ้าตัดสินใจลงมือทำแล้ว ต้องทำและอยู่กับมันให้ได้ อย่าคิดว่าจะเลิก หรือลองทำไปก่อน เพราะการทำธุรกิจต้องใช้ทั้งเวลาและเงินลงทุนสูง มันควรนับ 1 แล้วไปต่อ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วล้มเหลว ก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเรียนรู้ เป็นบทเรียนให้สามารถนำไปต่อยอดได้”

    และนี่คือ เรื่องราวของโจ และชินโดราเมน บุคคลที่เลือกใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตัวเองรักอย่างซื่อสัตย์ ต้นแบบธุรกิจผลลัพธ์ของการพยายามเรียนรู้ เข้าใจ และลงลึกอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่เคยหยุดตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองทำ

     ไม่แปลกอะไรที่ในวันนี้เขาจะพูดคำว่า “คุ้มแล้ว..ที่เกิดมา” ได้อย่างภาคภูมิใจ

    ข้อมูลติดต่อ

    FB : Shindo Ramen

    โทร. 064 285 2847

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

Nori เตารีดไอน้ำมินิมอล ธุรกิจที่เริ่มจากความหงุดหงิด แต่สร้างรายได้ 20 ล้านดอลลาร์

เพราะความหงุดหงิด กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ Nori เตารีดไอน้ำมินิมอล ที่สร้างรายได้กว่า 20 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียง 4 ปี

“เบบี้แอนด์มัม”  จาก pain point คนมีลูกยาก  สู่แบรนด์ที่ทำรายได้กว่า 783 ล้านบาท

จากความเจ็บปวดสู่ธุรกิจพันล้าน เมื่อผู้ก่อตั้งเผชิญภาวะมีบุตรยากด้วยตัวเอง กลับพลิก Pain Point ให้เป็นโอกาสด้วย กลยุทธ์ Education-driven จนสร้างรายได้กว่า 783 ล้านบาท นี่คือเรื่องราวของ “เบบี้แอนด์มัม”