Text : Sir.nim
Photo : A-Sha Foods
ได้ขึ้นแท่นตำแหน่งสูง งานดี เงินดี น้อยคนนักที่จะคิดอยากลงมาเริ่มต้นใหม่ แต่อาจไม่ใช่กับ ยัง ชาง (Young Chang) ชายหนุ่มชาวไต้หวันผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงจากหลายองค์กรชั้นนำระดับโลกมาแล้ว อาทิ Warner Bros, Disney, Sony, PwC ที่อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง เพื่อออกมาเป็นผู้ประกอบการปั้นแบรนด์บะหมี่ของตัวเองขาย
ลาออกจากงาน เพื่อทำธุรกิจในฝัน
ยัง ชาง เคยเป็นผู้บริหารในบริษัทระดับโลกที่มีตำแหน่งมั่นคงในอเมริกาล้วนเป็นสิ่งที่หลายคนอิจฉา แต่ด้วยความรักและความฝันอยากทำธุรกิจของตัวเอง ในวัย 34 ปีกับตำแหน่งงานสุดท้ายผู้อำนวยการอาวุโสที่ Warner Bros. เขาได้ตัดสินใจลาออกจากงานในปี 2015 เพื่อร่วมมือกับพี่เขยทำแบรนด์บะหมี่แห้งไต้หวันชื่อว่า “A-Sha” ขึ้นมา
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อในปี 2011 “Henry Liao” พี่เขยของเขาได้เข้าซื้อกิจการ A-Sha Foods บริษัทบะหมี่ดั้งเดิมของไต้หวันที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1977 ซึ่งกำลังประสบปัญหาด้านคุณภาพและเสี่ยงที่จะปิดกิจการ เพื่อฟื้นฟูแบรนด์ขึ้นมา และอยากได้พาร์ตเนอร์เข้ามาช่วยดูแลกิจการเพื่อขยายไปยังตลาดอเมริกา จึงได้มาชักชวนเขาให้มาทำด้วยกัน
โดยได้ตั้งคำถามง่ายๆ แต่ชวนคิดกับเขาว่า “คุณจะมีโอกาสสักแค่ไหนที่จะได้เป็นซีอีโอของ Warner Bros.? แต่ถ้ามาทำกับ A-Sha คุณเป็นซีอีโอได้ตั้งแต่วันแรกเลย”
จากคำถามนั้นทำให้ยัง ชาง ฉุกคิด และนึกย้อนไปถึงความฝันของตัวเองที่วันหนึ่งก็อยากเป็นผู้ประกอบการมีธุรกิจของตัวเอง อีกทั้งในตอนเป็นเด็กเขายังได้เคยทำงานในร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ ภาพในวัยเยาว์สะท้อนขึ้นมา
ในช่วงแรก ยัง ชาง ไม่ได้ตัดสินใจลาออกมาเลยในทันที เขาใช้เวลาหลังเลิกงานนำสินค้ามาทดลองขายผ่านช่องทางเว็บไซต์ Amazon และช่องทางออนไลน์อื่นๆ ก่อน ผลปรากฏว่าขายดีจนของหมดสต็อกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเริ่มเห็นว่าธุรกิจน่าจะไปได้ดี เลยตัดสินใจลาออกมาในปี 2015 และร่วมก่อตั้ง A-Sha Foods USA อย่างเป็นทางการขึ้นมา
โดยเริ่มต้นจากกลุ่มลูกค้าชาวไต้หวันที่อาศัยอยู่อเมริกาก่อน และชาวเอเชีย ด้วยการสื่อสารผ่านภาษาจีน, วางขายตามร้านกาแฟและร้านอาหารไต้หวัน กระทั่งเมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น จึงเปลี่ยนไปประชาสัมพันธ์เป็นภาษาอังกฤษรวมถึงแพ็กเกจจิ้งด้วย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าตลาดระดับนานาชาติและอเมริกา โดยตอนนั้นพนักงานฝั่งอเมริกา รวมทั้งตัวเขาด้วย ทั้งบริษัทมีกันอยู่แค่เพียง 3 คน
ไม่ใช่แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่คือ Real Food
ยัง ชาง เล่าถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของบะหมี่ไต้หวันว่า เป็นเมนูบะหมี่แห้ง ตัวเส้นจะถูกนำไปต้ม จากนั้นจะนำมาคลุกด้วยซอสที่ปรุงด้วยซอสถั่วเหลือง ซอสงา น้ำมันพริก กระเทียม หรือเต้าเจี้ยว รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม เค็มหวานมันแบบเอเชียตะวันออก โดยมักกินเป็นอาหารจากหลัก ไม่ใช่แค่ของว่างเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วไป
ในการสร้างแบรนด์ A-Sha เขาจึงไม่ได้วางตำแหน่งแบรนด์เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไม่ใช่อาหาร Junk Food แต่คือ Real Food ที่เป็นอาหารจริงๆ มีคุณค่าสูง โดยเส้นบะหมี่ของ A-Sha ใช้วิธีการผลิตดั้งเดิมแบบโรงงานที่ไต้หวัน คือ ตัวเส้นจะไม่ผ่านการทอดน้ำเหมือนแบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วไป แต่จะใช้วิธีอบแห้งด้วยลม (Air-Dried) ซึ่งเป็นเทคนิคของคนไต้หวัน ทำให้บะหมี่มีไขมันต่ำ เก็บได้นานโดยไม่ต้องใส่สารกันบูด และยังได้รสสัมผัสเหนียวนุ่ม ไม่แข็งกระด้างหรือมันเยิ้มอีกด้วย แถมตัวเส้นก็ไม่มีการแต่งสี กลิ่น ใช้แค่แป้งสาลี, เกลือ, ซีอิ๊ว, น้ำ และน้ำมันงาเท่านั้นเป็นส่วนผสม
จึงทำให้กลุ่มชาวไต้หวันที่อาศัยอยู่ต่างประเทศ เมื่อได้ลองชิมบะหมี่ A-Sha ทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน เป็นรสชาติของความคิดถึงและความเป็นต้นตำรับ ขณะที่ผู้บริโภคฝั่งอเมริกาเอง หรืออื่นๆ ที่รักสุขภาพ เมื่อได้รู้จัก ก็เริ่มให้ความสนใจมากขึ้น ทั้งรสชาติและคุณค่าของบะหมี่แห้งแบบไต้หวัน
โดยบะหมี่ A-Sha ทั้งหมดถูกผลิตที่โรงงานในไต้หวัน โดยมีพี่เขยของเขาเป็นผู้ควบคุมดูแล ส่วน ยัง ชาง รับหน้าที่ดูแลการตลาดและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในอเมริกา
พลิกสูตรให้เข้ากับตลาด ยอดขายพุ่ง 4 เท่า
ในช่วงแรกของการเข้ามาทำตลาดในสหรัฐอเมริกา A-Sha USA ส่งออกบะหมี่แห้งจำนวนเพียงเดือนละประมาณ 8 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาด และการใช้เทคโนโลยีการขายออนไลน์ ทำให้จำนวนการส่งออกพุ่งสูงถึง 30 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่คนเริ่มสั่งอาหารออนไลน์กันมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
โควิดไม่เพียงทำให้ธุรกิจของ A-Sha โตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญให้ปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ จากเดิมที่เน้นขายส่ง (Wholesale) มาเพิ่มช่องทางขายตรงถึงผู้บริโภค (DTC) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Instagram และเว็บไซต์ของตัวเอง ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ชื่นชอบอาหารเอเชียและต้องการความสะดวก
อีกเหตุผลที่ทำให้แบรนด์เติบโตแบบก้าวกระโดด คือ การเข้าไปเจาะยังร้านค้าขายของชำ รวมถึงเชนซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ เช่น Safeway, Albertsons จนถึง Costco, Walmart, Target ซึ่งต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการเตรียมสต็อกสินค้าให้เพียงพอ โดย ยัง ชาง มองว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหลายครั้งที่บริษัทเล็กๆ อาจมีสินค้าดัง แต่ขาดเงินทุนสนับสนุน จึงไม่มีความสามารถผลิตให้บริษัทเหล่านั้นได้ ทำให้ต้องติดอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่เขาโชคดีที่มีพี่เขยคอยสนับสนุน
ซึ่งล่าสุดในปี 2025 ยัง ชาง ได้ให้สัมภาษณ์กับ Business Insider ว่าเขาส่งบะหมี่ A-Sha จากไต้หวันมาที่อเมริกากว่า 60 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือนเลยทีเดียว จากพนักงานเริ่มต้น 3 คนในอเมริกา ก็ขยับมาเป็น 30 คน และอีก 100 กว่าคนในไต้หวัน
ไม่ใช่แค่ขายบะหมี่ แต่ คือ การสร้าง “แบรนด์”
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ A-Sha แตกต่าง คือ ยัง ชาง และพี่เขยไม่ได้มาจากอุตสาหกรรมอาหารโดยตรง ซึ่งกลับกลายเป็นข้อได้เปรียบ เพราะพวกเขาคิดและทำธุรกิจ “ต่างจากสูตรเดิม” โดยเน้นสร้างแบรนด์ที่จับใจผู้บริโภค
ตัวอย่างความคิดสร้างสรรค์ เช่น การจับมือกับแบรนด์ป๊อปคัลเจอร์อย่าง Hello Kitty, BT21 และ Momofuku หรือแม้แต่การออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่น่าตื่นตา
แม้ A-Sha จะเริ่มต้นในไต้หวัน แต่ตอนนี้ A-Sha USA กลับกลายเป็นศูนย์กลางของ R&D และนวัตกรรม จนกระทั่งสินค้าที่ขายดีในอเมริกา และถูกนำกลับไปขายในไต้หวันอีกที รวมถึงส่งออกไปยังแคนาดา ออสเตรเลีย สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร
ยัง ชาง มองว่า A-Sha ไม่หยุดแค่บะหมี่! แม้เริ่มต้นจะมีสินค้าเพียง 8 ชนิด แต่ปัจจุบันมีมากกว่า 20 รายการ และคิดจะต่อยอดออกมาเรื่อยๆ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น Instant Pasta – พาสต้าพร้อมรับประทานแบบเติมน้ำร้อน, Vegan egg หรือไข่เทียมจากพืช เหมาะกับคนแพ้ไข่หรือทานเจ, มังสวิรัติ
ยัง ชาง มองภาพว่าพวกเขาเหมือน “Food-Tech Company” ที่พัฒนานวัตกรรมอาหาร ไม่ใช่แค่บะหมี่เท่านั้น
ลงมือทำ แม้ยังไม่สมบูรณ์แบบ
จากประสบการณ์ของยัง ชาง จะเห็นได้ว่าการเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่ต้องมีความตั้งใจจริง ละเอียดรอบคอบ และกล้าตัดสินใจ ความมั่นใจและรู้ลึกในสิ่งที่จะทำ ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่จะทำให้กล้าลุยไปข้างหน้าได้
นอกจากนี้ การมีเครือข่ายที่ดีและคนรอบข้างที่ช่วยสนับสนุน ก็จะยิ่งช่วยผลักดันให้เดินทางได้เร็วขึ้น เหมือนกับที่เขาได้ทำงานร่วมกับพี่เขยและมีที่ปรึกษาช่วยชี้แนะ
เรื่องราวของ A-Sha นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำธุรกิจที่นำด้วยหัวใจ และการเตรียมตัวที่ดี แม้อาจต้องแลกด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานที่ยิ่งใหญ่ ผลตอบแทนรายได้ที่สูง แต่ก็อาจไม่เท่ากับความภูมิใจที่คุณได้เป็นผู้ลงมือทำ กำหนด และควบคุมด้วยตัวเอง…ความภูมิใจมันต่างกันเยอะเลย
ที่มา : - www. economictimes.indiatimes.com
- www.labusinessjournal.com
- www. impactpodcast.com
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี