Text : Sir.nim
หนึ่งใน Pain Point ของผู้ประกอบการไซส์เล็กที่มักจะเจออยู่บ่อยๆ ในการผลิตสินค้า ก็คือ ไม่มีต้นทุนมากพอ เพื่อจะผลิตสินค้าทีละเยอะๆ ขณะที่โรงงานผลิตส่วนใหญ่เองก็มักมีขั้นต่ำการผลิตสูง จนทำให้ต้องพลาดโอกาสทางธุรกิจไปอย่างน่าเสียดาย
“3D Printer” นวัตกรรมเครื่องพิมพ์ 3 มิติ คือ เครื่องมือที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถทดลองออกแบบและผลิตสินค้าได้เอง โดยไม่ต้องลงทุนสูง ช่วยเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ง่ายๆ
เหตุผลทำไมถึงควรใช้ 3D Printer
ก่อนไปทำความรู้จักกับ 3D Printer ลองมาดูประโยชน์ที่ได้กันก่อน
1. สร้างต้นแบบ ลดความเสี่ยงก่อนผลิตจริง สำหรับ SME การใช้เงินอย่างคุ้มค่าเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นก่อนคิดจะตัดสินใจทำอะไร ต้องมั่นใจก่อน การทดลองสร้างต้นแบบสินค้าจำลอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ เครื่อง 3D Printer จึงเข้ามาช่วยตอบโจทย์ได้ เพื่อช่วยในการพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ก่อนผลิตออกมาจำหน่ายจริงได้ง่ายขึ้น และยังรวดเร็ว โดยไม่ต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาด้วยซ้ำ
2. ไม่ต้องผลิตเยอะ เริ่มต้นไม่สูงเท่าโรงงานใหญ่ โดยทั่วไปแล้ว Pain Point ที่ถือเป็นปัญหาใหญ่ของ SME คือ การไม่ได้มีเงินทุนเริ่มต้นมากพอ การจะให้ผลิตสินค้าออกมาปริมาณเยอะๆ เลยตั้งแต่ครั้งแรก อาจเป็นเรื่องยาก แต่โรงงานผลิตส่วนใหญ่มักติดเงื่อนไขที่ต้องมีการผลิตขั้นต่ำ ดังนั้นการใช้ 3D Printer จึงเป็นทางออกหนึ่ง ทำให้ไม่ต้องผลิตสินค้าออกมาเยอะตั้งแต่เริ่มต้น จึงทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนใช้ในธุรกิจได้ สามารถนำสินค้าไปทดลองขายก่อน และนำรายได้มาต่อยอดได้
3. เหมาะกับงาน Custom ด้วยจุดเด่นที่พิเศษของเครื่อง 3D Printer คือ ผลิตออกมาในปริมาณที่น้อยได้ มีความละเอียดสูง และแม่นยำสูง สามารถผลิตชิ้นงานที่มีความซับซ้อนได้ จึงเหมาะที่จะผลิตสินค้าที่สั่งทำเฉพาะ (Custom) หรือต้องการความพิเศษได้ เช่น ของขวัญ, งานศิลปะ, ของสะสม, ฟิกเกอร์, ของตกแต่งบ้าน ไปจนถึงอะไหล่สินค้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่บางครั้งอาจหาซื้อได้ยากในท้องตลาด ไม่พอดีกับที่ต้องการ หรือหากจะสั่งผลิตก็ต้องมีปริมาณมาก
4. ช่วยลดปริมาณของเสีย เนื่องจาก 3D Printer สามารถขึ้นรูปสินค้าออกมาได้ตามรูปทรงที่ออกแบบไว้ได้เลยในชิ้นเดียว จึงทำให้แทบไม่เหลือเศษวัสดุเหลือทิ้งสักเท่าไหร่ จึงเป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากการผลิต และยังช่วยประหยัดต้นทุนธุรกิจด้วย
3D Printer มีกี่ประเภท
โดยหลักการทำงานของ 3D Printer ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายๆ มีอยู่ 3 ส่วน คือ
สร้างไฟล์ Blueprint ออกแบบงาน 3 มิติ → หลอมวัสดุพิมพ์ → สร้างวัตถุ พิมพ์ทับซ้อนกันเป็นชั้น
โดยวัสดุที่สามารถนำมาใช้ได้ ค่อนข้างมีความหลากหลาย เช่น พลาสติก, เรซิน, โลหะ, เซรามิก นอกจากใช้ผลิตชิ้นงานออกมาแล้ว ปัจจุบันยังมี 3D Printer ที่ใช้สำหรับผลิตอาหารออกมาด้วย ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำเมนูสร้างสรรค์ขึ้นมาได้
สำหรับประเภทเครื่อง โดยส่วนใหญ่จะแบ่งตามเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ได้แก่
1.ระบบฉีดเส้นพลาสติก (FDM หรือ FFF) นิยมใช้มากที่สุด วิธีการ คือ หลอมเส้นพลาสติกให้เป็นของเหลว แล้วฉีดผ่านหัวฉีดขึ้นรูปเป็นชั้นๆ ซ้อนทับกัน จนเป็นรูปทรงวัตถุขึ้นมา
2. ระบบเรซิ่น (SLA, DLP) นิยมใช้กับงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น จิวเวอรี่ หลักการ คือ ใช้แหล่งกำเนิดแสง เช่น แสงเลเซอร์, แสง LCD ในการสร้างรูปทรงวัตถุ เช่น SLA - ใช้เลเซอร์วาดเป็นเส้น เพื่อทำให้เรซินแข็งตัว, DLP – ใช้หลักการฉายแสงเป็นภาพทั้งชั้นในคราวเดียว (พิมพ์ได้เร็ว)
3. ระบบผงวัสดุ (Powder 3D Printer) หรือเครื่องพิมพ์ระบบแป้ง หลักการคล้ายระบบการพิมพ์อิงเจ็ท แต่แทนที่จะพิมพ์ลงบนกระดาษ ก็พิมพ์ลงบนผงวัสดุแทน เช่น ผงยิปซั่ม, ผงพลาสติก โดยขึ้นรูปทีละชั้นๆ ซ้อนทับกันเป็นรูปทรงวัตถุขึ้นมา ซึ่งสามารถผสมสีไปด้วยได้เลย จึงเป็นการพิมพ์ 3 มิติที่ให้สีได้สมจริง
4.ระบบหลอมผง (SLS) หลักการทำงานคล้าย SLA แต่ต่างกัน คือ แทนที่จะทำให้เรซิ่นแข็งตัวโดยการฉายแสงเลเซอร์ แต่ SLS จะยิงเลเซอร์ไปบนผงวัสดุแทน จนหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน เช่น ผงโลหะ, ผงเซรามิก, ผงพลาสติก
ต้องลงทุนเท่าไหร่?
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจอยากใช้เครื่อง 3D Printer สามารถเลือกได้ทั้งลงทุนทดลองซื้อเครื่องมาใช้เอง หรือจ้างผลิต แต่ไม่ว่าจะจ้างผลิต หรือซื้อเครื่องมาใช้เอง ก็ควรศึกษาการทำงานของเครื่อง วิธีการที่เหมาะกับการผลิตสินค้า จุดเด่นจุดด้อยเอาไว้บ้าง
โดยปัจจุบันราคาเครื่อง 3D Printer ในท้องตลาดเริ่มต้นมีตั้งแต่หลักพัน ไปจนถึงหลายแสนบาท ตัวอย่างเช่น รุ่นCreality Ender-3 V3 SE เป็นเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบ FDM ทำงานโดยการใช้ความร้อนหลอมเส้นพลาสติกแล้วฉีดขึ้นรูปเป็นชั้นๆ ทีละชั้น ราคาขายเริ่มต้นประมาณ 7,000 บาท
สำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ต้องการจ้างผลิต การคิดค่าบริการพิมพ์งาน 3D Printer จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. คิดตามเวลา เช่น เครื่อง FDM (หลอมเส้นพลาสติก) 1.5-10 บาท/นาที
2. คิดตามน้ำหนักวัสดุ เช่น เครื่อง Resin (เรซินเหลว) 20-30 บาท/กรัม เช่น จิวเวอรี่
ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ความยากง่ายชิ้นงานด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้เช่าเครื่องมาใช้รายเดือนด้วย เป็นอีกทางเลือก ไม่ต้องลงทุนเงินก้อน มีเซอร์วิสบริการ ไม่ต้องเสียค่าบำรุงดูแลเอง
ข้อควรระวังก่อนเลือกใช้ 3D Printer
- ศึกษาประเภทเครื่อง ให้เหมาะงานที่ต้องการ จนถึงวัสดุที่นำมาใช้
- ราคาต้นทุนต่อชิ้น ถึงจะผลิตทีละน้อยๆ ได้ แต่หากเทียบในปริมาณมาก การผลิตระบบอุตสาหกรรมก็อาจคุ้มกว่า
- ระยะเวลาผลิตต่อชิ้นค่อนข้างนาน ต้องเผื่อเวลาการผลิตไว้ให้ดี
- การบำรุงรักษา คำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ และค่าวัสดุด้วย
ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้ 3D Printer ในธุรกิจ
Model No – แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากวัสดุรีไซเคิล สร้างชิ้นงานขึ้นมาด้วยระบบการพิมพ์แบบ 3 มิติ
Adidas - ใช้ผลิตพื้นรองเท้าชั้นกลาง ที่เรียกว่า “mid-sole”
SMV Thailand - แบรนด์เครื่องประดับไทย ที่นำ 3D Printer มาใช้สร้างต้นแบบหล่อเครื่องประดับขึ้นมา
Peugeot – แบรนด์รถยนตร์ ที่ใช้ 3D Printer ผลิตอุปกรณ์เสริมช่องวางของตรงคอนโซล
และนี่คือ เรื่องราวของเครื่องมือที่ชื่อว่า 3D Printer ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน แต่ยังเปิดประตูให้ผู้ประกอบการรายเล็กได้ทดลองและสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ โดยไม่ต้องเสี่ยงสูง เพียงเริ่มต้นก็อาจต่อยอดเป็นธุรกิจจริงได้
ที่มา : - https://www.print3dd.com/how-to-use-3dprinter-business/
- https://www.tkk3dprinting.com/3d-print-service-tkk3d/
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี