เรียบเรียง : N.P
ถ้าเปิดกล่องเสื้อผ้าออนไลน์แล้วเจอแท็กใหญ่เท่ากระดาษ A4 พร้อมข้อความว่า “ห้ามคืนหรือเปลี่ยน หากป้ายถูกถอดออก” หรือซิปที่ถูกล็อกด้วยรหัสลับ คุณอาจกำลังเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวสุดแปลกใหม่ที่วงการอีคอมเมิร์ซจีนกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
เรื่องนี้เริ่มต้นจากปัญหาที่ฟังดูเหมือนเล็ก แต่กลับสะสมจนกลายเป็นความปวดหัวระดับชาติ จากพฤติกรรม “ซื้อไปใส่ครั้งเดียวแล้วคืน” ที่ผู้ขายในจีนเรียกกันติดปากว่า “ตัดขนแกะ” ซึ่งเป็นสำนวนจีนหมายถึง “การเอาเปรียบร้านค้า”
ลูกค้าบางรายสั่งเสื้อผ้าชุดใหม่ ใช้ถ่ายรูป เที่ยวงาน หรือแม้แต่ขึ้นคอนเสิร์ต แล้วส่งคืนภายใต้กฎคืนสินค้า 7 วันแบบไม่ต้องให้เหตุผลที่จีนใช้มาตั้งแต่ปี 2014
พฤติกรรมนี้ไม่ใช่เรื่องเล่าลอยๆ แต่เกิดขึ้นจริงจนกลายเป็นข่าวดังหลายครั้ง ทั้งเคสที่นักศึกษาคืนชุดแฟนซี 7 ชุดแบบมีคราบใช้งาน หรือกรณีวงดนตรี Wutiaoren ที่ส่งคืนแจ็กเก็ต 2 ตัวมูลค่า 6,000 หยวนหลังใส่โชว์บนเวทีเต็มที่ ก่อนสไตลิสต์ต้องออกมาขอโทษและขอชดใช้ในภายหลัง
มีข้อมูลระบุด้วยว่า อัตราการคืนสินค้าของเสื้อผ้าผู้หญิงออนไลน์สูงถึง 50–60% ขณะที่กฎหมายก็ระบุชัดเจนว่าผู้บริโภคต้องคืนสินค้าในสภาพสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นร้านมีสิทธิ์ปฏิเสธ แต่กฎเกณฑ์เหล่านี้อาจไม่เพียงพอในโลกจริงที่ผู้ขายไม่รู้ว่าของที่ส่งกลับมาถูกใส่มาแล้วหรือไม่ หรือถูกใส่ไปกี่งาน
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ผู้ขายเริ่มรู้สึกว่า ออนไลน์ช้อปกลายเป็น “ตู้เสื้อผ้าฟรี” ของใครบางคน ร้านค้าหลายแห่งจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาแก้เกมด้วยวิธีที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
ติดแท็กยักษ์ ที่ใหญ่กว่ากระดาษ A4 พร้อมข้อความชัดแจ้งว่า “ถ้าถอดป้าย หมดสิทธิ์คืน” และบางร้านก็ยกระดับไปอีกขั้น ด้วยการ ล็อกซิปเสื้อด้วยรหัสผ่าน แล้วจะปลดให้เฉพาะเมื่อลูกค้ายืนยันการซื้อจริง
วิธีการเหล่านี้ถูกแชร์กระหน่ำในช่วงเทศกาล 11. 11 จนกลายเป็นไวรัล และทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า…นี่คือความสุดโต่ง หรือเป็นวิธีที่จำเป็นต่อการเอาตัวรอดในโลกอีคอมเมิร์ซปัจจุบัน?
แท็กยักษ์และตัวล็อกรหัสจึงไม่ใช่แค่ลูกเล่น แต่เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามครั้งใหม่ของร้านค้าออนไลน์จีน ที่ต้องการจะบอกว่า ยุคที่เสื้อผ้าออนไลน์เป็นของใช้ชั่วคราวแบบ “ยืมฟรี” อาจใกล้หมดลงแล้ว และเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้บริโภคทั้งจีนและทั่วโลกต้องหันมาจับตาดูว่า…เมื่อร้านค้าตอบโต้ด้วยวิธีแปลกใหม่ขนาดนี้ ก้าวถัดไปของสงคราม “ซื้อ–คืน” จะเป็นอย่างไร?
ที่มา : www.scmp.com
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี