ปั้น Ocare Health Hub ยอมขาดทุน 3 ปีก่อนมีรายได้ 9 หลัก

Text: Neung Cch.

Photo : Sunun Lorsomsab


    ในยุคที่ธุรกิจเดิมถึงทางตัน ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยกำลังมองหา "ธุรกิจที่สอง" เพื่อทุบทำลายเพดานรายได้ แต่คำถามสำคัญคือ จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องทิ้งอาชีพเดิมที่มั่นคง และจะสร้างธุรกิจใหม่ให้ "รันเองได้" ได้อย่างไร?

     พบกับบทเรียนเข้มข้นจาก พญ.ชุติมา ดุลมณี (หมอออม) CEO แห่ง Ocare Health Hub ที่ตัดสินใจครั้งใหญ่ด้วยการ กล้าทิ้งความมั่นคงของคลินิกแพทย์ สู่สนามรบ Health Tech ที่ไร้กำไรในช่วง 3 ปีแรก

    สกู๊ปนี้จะพาคุณไปเจาะลึกกลยุทธ์ที่เปลี่ยนบริษัทจากธุรกิจบริการที่ถูกลอกเลียนได้ง่าย สู่การเป็นผู้สร้าง 'Joey Doctor' ระบบ AI ที่ช่วยลดภาระงานโรงพยาบาลได้กว่า 10 เท่า พร้อมเผยสัญญาณสำคัญที่ผู้บริหารต้องมองหา:

     ถ้าคุณคือผู้บริหารที่กำลังติดกับดัก 'การเก่งคนเดียว' หรือกำลังเผชิญกับ 'เพดานรายได้' ที่ไม่สามารถขยายต่อได้ นี่คือบทสรุปของวิสัยทัศน์ที่กล้าก้าวข้าม Industrial Edge

เมื่อชีวิตที่ดีไม่พอ...เส้นทางสู่ Next Generation Leader

     ในวันที่ใครหลายคนใฝ่ฝันถึงความมั่นคงในอาชีพแพทย์ แพทย์หญิงชุติมา ดุลมณี หรือ หมอออม CEO แห่ง Ocare Health Hub Co.,LTD. กลับเลือกที่จะเดินออกจาก Comfort Zone ในฐานะเจ้าของคลินิกที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง เพื่อกระโดดเข้าสู่สมรภูมิเทคโนโลยีที่ไร้พรมแดน

     การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้มาจากความเบื่อหน่ายในอาชีพ แต่มาจากวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมว่า 'การทำธุรกิจคือหนทางแห่งความอิสระ' เพราะอาชีพเดิมมี 'เพดานรายได้' ที่จำกัด และเพื่อเป็นผู้นำในยุคถัดไป การเลือกธุรกิจจึงต้องสอดคล้องกับเทรนด์โลก"

     "ถ้ามองย้อนไปอดีต เราก้าวพ้นยุคอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุค Information และเทคโนโลยี หากวันนั้นเราอยากเป็นผู้นำในยุคถัดไป ธุรกิจที่เราต้องเลือกมันต้องไม่อยู่ใน 'Industrial Edge' อีกแล้ว การเป็นหมอจึงยังไม่ตอบโจทย์"

     นี่คือจุดเริ่มต้นของการ การปรับโมเดลธุรกิจครั้งสำคัญ ที่เปลี่ยนจากผู้เชี่ยวชาญรายบุคคล สู่ผู้สร้าง "System" ที่กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการสุขภาพไทยและเอเชีย

3 ปีแห่งการค้นหา จุดเปลี่ยนจาก 'บริการ' สู่ 'ระบบ'

     ในช่วงสามปีแรกของการก่อตั้ง Ocare Health Hub คือบทเรียนราคาแพงที่เต็มไปด้วยการลองผิดลองถูก บริษัทเริ่มต้นด้วยการบริการส่งพยาบาลไปเจาะเลือดตามบ้าน แต่หมอออมตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่า นี่คือธุรกิจ "Service" ที่ใครก็สามารถคัดลอกได้ง่าย

     จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Ocare ค้นพบ Pain Point ที่แท้จริงในวงการโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่ต้องตรวจสุขภาพให้กับกลุ่มองค์กรและโรงงาน ข้อมูลสุขภาพที่มาจากหลายแหล่งทำให้การทำรายงานมี ความซับซ้อน สูง ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีต่อเคส อีกทั้งอาจเกิดข้อผิดพลาดได้

     Ocare จึงปรับโมเดลธุรกิจจาก Service เป็น System ที่เน้นการแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ และได้คลอดโซลูชันหลักชื่อว่า "Joey Doctor"

     "ก่อนหน้านี้ การทำ Health Report ต้องใช้ทั้งหมอและพยาบาลรวบรวมข้อมูล นั่งแปลผล จัดรูปเล่ม แต่ปัจจุบัน Joey Doctor สามารถใช้แค่ คลิกเดียว ก็แปรผลออกรายงานได้ทั้งหมด"

     พญ.ชุติมา บอกว่านี่คือการลดขั้นตอนการทำงานในส่วนนี้ได้กว่า 10 เท่า (จาก 5 นาที เหลือเพียง 5 วินาที) ซึ่งเป็นคำตอบโดยตรงต่อผู้บริหารที่ต้องการ Operational Excellence และการลดต้นทุน

     "เทคโนโลยีที่ดีย่อมต้องตอบโจทย์การลดขั้นตอน และช่วยให้บุคลากรสามารถทำหน้าที่ 'QC' แทนการทำ 'Process' ทั้งหมด"

สัญญาณ Scale ที่ต้องทิ้งธุรกิจเดิม

     ผู้ประกอบการทุกคนต้องเผชิญคำถามที่ยากที่สุดคือ: จะรู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจใหม่มาถูกทาง และถึงเวลาต้องทิ้งธุรกิจเก่าที่มั่นคง?

     หมอออมให้คำตอบด้วยการวัดผลที่เป็นรูปธรรมในเชิงรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Revenue) และ Impact รายได้ที่ต่อเนื่องและสูงกว่า: เมื่อ Ocare ได้ลูกค้ารายใหญ่และมีสัญญาที่ให้ Recurring Revenue ต่อเนื่องอย่างน้อย 3-5 ปี และมีรายได้จากธุรกิจใหม่นี้มากกว่ารายได้จากการทำคลินิกเดิม นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด

     อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่มีสินค้าเป็นรูปธรรม จึงต้องอาศัยการทำให้เห็น หมอออมจึงได้ลูกค้ารายแรกเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในลำพูนที่ใช้ Joey Doctorทำให้พวกเขาสามารถขยายฐานลูกค้า Corporate ได้ถึง 4 เท่า ผลลัพธ์ที่ชัดเจนนี้ทำให้ Ocare สามารถ Expand เข้าสู่เครือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ (จาก 1 แห่งเป็น 7-8 แห่งในทันที)

     นี่คือโมเดลการ Scale ธุรกิจแบบ B2B ที่เริ่มต้นจาก Niche Market และใช้ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้เป็นใบเบิกทางในการเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น

     "ธุรกิจเทคโนโลยีเหมือนการสร้างบ้านเช่าหนึ่งหลัง ถ้าบ้านหลังนั้นสมบูรณ์ที่สุดแล้ว เราก็ให้คนเช่ากี่คนก็ได้ไม่ลิมิต นี่คือข้อดีของการ Scale ที่ธุรกิจบริการทำไม่ได้"

ทุบกำแพงเพดานรายได้ จาก Cost Reduction สู่ Data Utilization

     เมื่อธุรกิจเริ่มนิ่งในตลาด Health Report (Cost Reduction) หมอออมมองเห็น S-Curve ถัดไป ทันที นั่นคือการใช้ข้อมูลที่มีมหาศาลเพื่อ สร้างรายได้ใหม่

     ปัจจุบัน โรงพยาบาลมีข้อมูลสุขภาพมหาศาล แต่ ประมาณ 98% ไม่ได้ถูกนำไปต่อยอด Ocare จึงพัฒนาไปสู่การเป็น Health Data Platform และ Data Warehouse ที่มี AI ช่วยดึง Insight ต่างๆ โดยมีกลยุทธ์สำคัญคือ

     เปลี่ยน Data ขยะให้เป็น Asset: ช่วยโรงพยาบาลดึงข้อมูลเพื่อทำแคมเปญตลาดที่มุ่งเน้นสุขภาพแต่ละบุคคล และใช้ข้อมูลในการตัดสินใจการบริหาร

     การเป็น Partner กับ Tech ระดับโลก: Ocare ร่วมมือกับบริษัท Lab ระดับโลกเพื่อต่อยอดข้อมูลสู่ Digital Lab ที่สามารถคาดเดาความเสี่ยงของโรค (เช่น มะเร็งลำไส้) จากการตรวจเลือดทั่วไปและประวัติ นี่คือการเปลี่ยนจากแค่ "สรุป Data" เป็นการ "ต่อยอดการวินิจฉัย"

     นอกจากนี้ หมอออมยังเน้นย้ำถึงการวางตำแหน่งของธุรกิจ Health Tech ไทย

     "ไทยเราขึ้นชื่อเรื่อง Service และ Hospitality ถ้าเรามองภาพรวม เราไม่ควรเน้นพัฒนาเครื่องมือวินิจฉัย (Diagnostic Tools) แต่เราควรเน้นที่การ Improve Service และลด Workflow ต่างๆ ถ้าเราทำได้ดีในส่วนนี้ ไทยเราก็มีโอกาสเป็นที่หนึ่งได้"

     Ocare Health Hub จึงมุ่งมั่นที่จะเป็น "New Backbone" ที่ช่วยให้สถานพยาบาลสามารถใช้ Data เพื่อยกระดับบริการตามจุดแข็งของประเทศ และสร้างโอกาสในการขยายตลาดสู่ เอเชียแปซิฟิก

     "ความท้าทายในปัจจุบันคือการหา S-Curve ให้กับธุรกิจ เราต้องไม่หยุดแค่การช่วยลดต้นทุน แต่ต้องหา Solution ใหม่ที่เอา Data มาต่อยอดเพื่อ เพิ่มรายได้ ให้กับลูกค้าของเรา"

จาก Entrepreneur สู่ Business Owner

     ตลอด 7 ปีของการก่อตั้ง Ocare ได้พิสูจน์แล้วว่า การสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนคือการเปลี่ยนจาก "การเก่งคนเดียว" สู่การ "สร้างระบบ" ที่ทำให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้ และการตัดสินใจทั้งหมดต้องมี Data เป็นตัวสำรอง

     ปัจจุบัน Ocare Health Hub มีลูกค้าโรงพยาบาลประมาณ 50 แห่ง และให้บริการตรวจสุขภาพแก่ผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านรายต่อปี โดยมีเป้าหมายคือการเป็น Health Data Platform ที่ทุกสถานพยาบาลต้องมี

     Set up ธุรกิจที่สองอย่างไรให้ทุบเพดานรายได้? บทเรียนจากหมอออมคือ วิสัยทัศน์ที่กล้าทิ้งความมั่นคงเดิม เพื่อมองหาโอกาสในยุคหน้า ความสามารถในการ Pivot จาก Service เป็น System และ ความกล้าที่จะตั้งเป้าเป็นที่หนึ่ง ในทุกสิ่งที่ทำ แม้จะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) ก็ตาม

     "เราต้องเป็นคนวาง The New Normal ของ Industry นั้น ไม่ใช่แค่ตาม Requirement ของลูกค้า แต่เราต้องคิดมากกว่าลูกค้าได้ ต้องล้ำหน้าอยู่เสมอ" หมอออม กล่าวทิ้งท้าย

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
  

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

‘แตะพี่หมอ’ รองเท้าแตะผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ขยายสาขา ไม่ X แบรนด์ดัง แต่มีลูกค้าอยู่ทั่วโลก

“แตะพี่หมอ” ร้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสและน้ำปลา โดยไม่มีหน้าร้านใหญ่โต ไม่โฆษณา แต่กลับดึงดูดนักวิ่ง คนรักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาเรื่องเท้าจากทั่วโลกให้เดินทางมาหาด้วยเป็น “รองเท้าแตะที่ทำขึ้นมาเฉพาะคนเดียว”

ศัตรูตัวจริงที่ฆ่าธุรกิจที่อยู่มานาน คือ ความเคยชิน และ วิธีคิด ของเจ้าของ

หยุดโทษตลาด คู่แข่ง หรือภาวะเศรษฐกิจ! เพราะศัตรูที่อันตรายที่สุดที่กำลังฆ่าธุรกิจคุณอย่างช้าๆ อาจไม่ใช่เศรษฐกิจ เทคโนโลยีใหม่ๆ แต่เป็นสิ่งที่เคยทำให้คุณรวยในอดีต นั่นคือ "ความเคยชิน" และ "วิธีคิดที่ติดกับดักความสำเร็จ" ของตัวคุณเอง

จาก Street Food ข้างทาง สู่แฟรนไชส์ที่มีมาตรฐาน “ต้มเส้นตีนไก่” เริ่มง่าย คืนทุนไว

จากร้านอาหารเวียดนาม สู่การต่อยอดเมนูสตรีทฟู้ดอย่าง “ต้มเส้นตีนไก่” ให้กลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ที่กำลังเติบโต ด้วยการวางเป็นระบบ มาตรฐานครัวกลาง การควบคุมคุณภาพ และโมเดลแฟรนไชส์ที่ลงทุนไม่สูง แต่กลับสร้างผลตอบแทนเร็วเกินคาด