สถาบันอาหาร คาดส่งออกอาหารไทยปี 2561 มูลค่าพุ่ง 1.12 ล้านล้านบาท โตต่อเนื่องตามเศรษฐกิจโลก



     สถาบันอาหาร จับมือสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยส่งออกอาหารไทย 9 เดือนแรกปี 2560 (ม.ค.–ก.ย.) มีปริมาณ 25.26 ล้านตัน มูลค่า 768,797 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.3 และร้อยละ 9.4 ตามลำดับ โดยเติบโตดีในตลาดตะวันออกกลาง (+25.2%) จีน (+22.2%) กลุ่มประเทศ CLMV (+19.9%) และแอฟริกา (+17.1%) โดยภาพรวมการส่งออกอาหารไทยในปี 2560 คาดว่าจะมีมูลค่า 1.03 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ชี้ไตรมาสสุดท้ายยังโตต่อเนื่อง ตามแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้า ทั้งต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น และเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองปลายปี ส่วนปี 2561 ประเมินว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.7 มีมูลค่าส่งออก 1.12 ล้านล้านบาท

     นายยงวุฒิ  เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า ในการประสานความร่วมมือของ 3 องค์กร ในส่วนของสถาบันอาหารจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้การดำเนินงานของศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร หรือ Food Intelligence Center พบว่าภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาหารไทยใน ช่วง 9 เดือนแรกปี 2560 (ม.ค.-ก.ย.) ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 ส่วนภาคการส่งออกสินค้าอาหารไทย มีปริมาณ 25.26 ล้านตัน มูลค่า 768,797 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.3 และร้อยละ 9.4 ตามลำดับ เนื่องจากมีความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น หลังจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึงจีน ขณะที่เศรษฐกิจและการค้าในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาก็เริ่มปรับตัวดีขึ้น กลุ่มสินค้าหลักที่การส่งออกเพิ่มขึ้นทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว ไก่ กุ้ง เครื่องปรุงรส ผลิตภัณฑ์มะพร้าว และอาหารพร้อมรับประทาน

     กลุ่มสินค้าที่การส่งออกมีปริมาณลดลงแต่มูลค่าขยายตัวสูงขึ้น ได้แก่ น้ำตาลทรายซึ่งมีมูลค่าขยายตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงในครึ่งแรกของปี เช่นเดียวกับการส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง หลังจากที่ผู้ผลิตมีการปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้นสอดคล้องกับต้นทุนวัตถุดิบทูน่าที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100% จากปีก่อน ส่วนการส่งออกผลิตภัณฑ์สับปะรด (กระป๋องและน้ำสับปะรด) เพิ่มขึ้นในเชิงปริมาณหลังจากมีความต้องการจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องภายใต้ภาวะที่ผลิตภัณฑ์สับปะรดมีราคาอ่อนตัวลงมากตามราคาวัตถุดิบสับปะรดโรงงาน

     สินค้าหลักที่การส่งออกหดตัวลง ทั้งปริมาณและมูลค่ามีเพียง 2 กลุ่มสินค้า คือ แป้งมันสำปะหลังดิบ (Native Starch) และน้ำผลไม้ (ไม่รวมน้ำสับปะรด) โดยการส่งออกแป้งมันสำปะหลังดิบ ไปตลาดหลักอย่างจีนต้องเผชิญการ แข่งขันรุนแรงจากผู้ส่งออกเวียดนามที่ใช้ข้อได้เปรียบจากการส่งสินค้าผ่านชายแดนทำให้ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (13%) ขณะที่ตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 2 อย่างอินโดนีเซียมีการหดตัวมากเช่นกัน เพราะผลผลิตมันสำปะหลังในอินโดนี เซียมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ส่วนการส่งออกน้ำผลไม้หดตัวลง เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่มีการปรับปรุงระบบการผลิตน้ำมะพร้าวให้ สอดรับกับมาตรฐานใหม่ที่ประกาศใช้โดย European Fruit Juice Association (AIJN) ส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงในช่วงสั้นๆ คาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงปลายปี 2560 หรือต้นปีหน้า

     “ตลาดส่งออกอาหารไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ที่มีอัตราขยายตัวสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (+25.2%), จีน (+22.2%), กลุ่มประเทศ CLMV (+19.9%) และแอฟริกา (+17.1%) ส่วนตลาดหลักที่ไทยส่งออกลดลง ได้แก่ อาเซียนเดิม (-10.7%), สหรัฐอเมริกา (-2.3%) และสหราชอาณาจักร (-10.9%) โดยกลุ่มประเทศ CLMV ยังคงเป็นตลาดส่งออกอาหารอันดับที่ 1 ของไทย มีสัดส่วนร้อยละ 16.6 รองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น (13.5%), อาเซียนเดิม (11.6%), สหรัฐอเมริกา (10.6%), แอฟริกา (9.3%), จีน (9.0%), สหภาพยุโรป (6.0%), ตะวันออกกลาง (4.2%), โอเชียเนีย (3.3%), สหราชอาณาจักร (3.0%) และเอเชียใต้ (1.6%)”

     นายยงวุฒิ กล่าวต่อว่า ภาพรวมการส่งออกอาหารไทยในปี 2560 คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ประเมินว่าอุตสาหกรรมอาหารไทยใน ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 จะยังได้รับปัจจัยสนับสนุนต่อเนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับ ต่ำ ปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตรในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการส่งออกไก่ยังได้รับอานิสงส์จากกรณีการระบาดของโรคไข้หวัดนกในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเนื้อสัตว์ของบราซิล ประกอบกับความต้องการสินค้าอาหารที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปลายปี จะมีส่วนกระตุ้นให้การส่งออกอาหารไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีขยายตัวต่อเนื่อง

     สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารไทยปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 8.7 โดยมีมูลค่าส่งออก 1.12 ล้านล้านบาท มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ อาเซียน สัดส่วนส่งออกประมาณร้อยละ 30 ญี่ปุ่นร้อยละ 14 สหรัฐฯร้อยละ 10 จีนและแอฟริกามีสัดส่วนเท่ากันที่ร้อยละ 9 เป็นต้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญประกอบ ด้วย 

     1) เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประเมินอัตราขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2561 ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.7 จากร้อยละ 3.6 ในปี 2560 

     2) ผลผลิตสินค้าเกษตรไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ได้แก่ ข้าว อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน กุ้ง ไก่ ส่วนผลผลิตมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มลดลง 

     3) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลงตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ จะส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทย โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ สำคัญ 3 รายการ ได้แก่ ข้าวโพด กากถั่วเหลือง และปลาป่น 

     4) ราคาสินค้าส่งออกหลักของไทยอยู่ในกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นในตลาดโลกหลายรายการ รวมถึง ข้าว ไก่ และกุ้ง  

     และ 5) ราคาพลังงานอยู่ในระดับต่ำไม่กระทบต้นทุนสินค้า ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมอาหารตลอดจนภาคการขนส่งมากนัก

     อนึ่ง รูปแบบสินค้าอาหารส่งออกของไทยมี แนวโน้มพัฒนาไปสู่การเป็นสินค้าอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานมากขึ้น โดยในปี 2541 สัดส่วนส่งออกสินค้าอาหารสำเร็จ รูปพร้อมรับประทานมีเพียงร้อยละ 35 ส่วนร้อยละ 65 เป็นการส่งออกอาหารสด/วัตถุดิบ/ แปรรูปขั้นต้น แต่ในปี 2559 สินค้าอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานมีสัดส่วนส่งออกเทียบเท่ากับกลุ่มสินค้าอาหารสด/วัตถุดิบ/ แปรรูปขั้นต้น คือร้อยละ 50 

     ทั้งนี้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตในกลุ่มสินค้าอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.3 ต่อปี ขณะที่กลุ่มสินค้าอาหารสด/วัตถุดิบ/แปรรูปขั้นต้น มีอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ 5.0

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

เปิดแผนโกงตาย หงส์ไทย แบรนด์ยาดมที่รอด 9 วิกฤต ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจฉบับแมว 9 ชีวิต

พาไปดูแผน 10 ชั้นของธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้บริหารเบื้องหลังความสำเร็จของหงส์ไทย ที่ทำให้ธุรกิจไม่ใช่แค่อยู่รอด แต่แกร่งขึ้นกว่าเดิม

เปิด 4 กลยุทธ์ The Scenery สวนผึ้ง 20 ปี ทำยังไงให้ลูกค้ายังแห่จองเต็มตลอด

20 ปี ทำธุรกิจยังไง ให้ลูกค้าแย่งกันใช้บริการ “The Scenery Vintage Farm” กิจการที่พักยุคแรกๆ ของ อ.สวนผึ้ง ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ลูกค้าแย่งกันจองเข้าพัก ผ่านไป 20 กว่าปีแล้ว วันนี้ก็ยังมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการกันอยู่ตลอดเวลา อะไร คือ เคล็ดลับที่ว่า ไปหาคำตอบกัน

White Tiger จากความบังเอิญ สู่ “นมถั่วลายเสือ” เจ้าแรกของโลก

หันหลังให้เมืองกรุงมุ่งหน้าสู่ปาย “หยอง-ฐานันต์ แก้วดิษฐ์” อดีตทีมโปรดักส์ชัน เลิกจับคอมพิวเตอร์หันมาเอาดีด้านการเกษตร ปลูกถั่วลายเสือ “ด้วยไอเดียคุณช่วยปลูก เราช่วยแปร(รูป)”และนี่คือเส้นทางของนมจากพืชสัญชาติไทย