“เจ๊ไฝ” สร้างธุรกิจขึ้นมาแบบไหน? ถึงได้รางวัลบุคคลต้นแบบเอเชีย

TEXT : กองบรรณาธิการ


               

     ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อนที่มิชลิน ไกด์จะเข้ามาในบ้านเรา หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ร้านอาหารย่านประตูผี หรือบริเวณแยกสำราญราษฎร์ นอกจากร้านผัดไทยชื่อดังอย่างร้านทิพย์สมัยแล้ว ถัดออกมาเพียงไม่กี่ห้องตึกแถวจะมีร้านอาหารเล็กๆ ตั้งอยู่อีกร้านหนึ่ง ผู้คนอาจดูไม่พลุกพล่านมากนัก มองดูภายนอกก็เหมือนกับร้านอาหารตามสั่งทั่วไป แต่เมื่อลองดูป้ายเมนูและราคาที่ติดอยู่ข้างฝาร้าน ซึ่งสูงกว่าร้านอื่นเกือบ 10 เท่า หลายคนที่ไม่เข้าใจ รวมถึงยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติอาจผ่านเลยไปได้ แต่รับรองว่าถ้าได้ลองสักครั้ง ต้องมีครั้งต่อไปแน่นอน
               

     นี่คือ ภาพจำของร้านเจ๊ไฝในวันวานก่อนจะได้รับรางวัลมิชลินที่เรารู้จัก แม้จนถึงวันนี้จะยังคงได้รับรางวัลมิชลิน สตาร์ 1 ดาวมาอย่างต่อเนื่อง 4 ปีซ้อนแล้ว (2561 - 2564) ภาพร้านอาจดูคึกคักมากขึ้น มีคนรอต่อคิวแถวยาวเหยียด บ้างก็ว่าต้องจองล่วงหน้ากันหลายเดือน แต่ตัวร้านก็ยังคงรูปแบบและขนาดอยู่เท่าเดิม ที่สำคัญ คือ เจ๊ไฝก็ยังคงยืนทำอาหารให้กับลูกค้าด้วยตัวเองทุกจานอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร และนี่เองน่าจะเป็นเหตุผลที่มาของการคว้ารางวัลล่าสุด Icon Award Asia 2021 หรือรางวัลบุคคลต้นแบบ ปี 2564 ที่ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ theworlds50best เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ มาครองอีกรางวัลได้เป็นผลสำเร็จ



 
           

เจ๊ไฝเป็นใคร และมาจากไหน

               

     ก่อนจะไปร่วมชื่นชมยินดีกับรางวัลใหม่ของเจ๊ไฝ ลองมาทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริง และแนวคิดการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนใครจนประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ของเจ๊ไฝกันก่อน
               

     เจ๊ไฝ มีชื่อจริงว่า “สุภิญญา จันสุตะ” และชื่อเล่นว่า “เปีย” แต่คนส่วนใหญ่ชอบเรียกว่า เจ๊ไฝ มากกว่าจนนำมาตั้งเป็นชื่อร้านในที่สุด โดยร้านเจ๊ไฝเริ่มเปิดขายอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2520 หรือเมื่อ 44 ปีที่แล้ว
               

     ชีวิตในวัยเด็กเจ๊ไฝเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างยากจน กว่าจะมาเป็นแม่ครัวชื่อดังระดับโลกได้อย่างที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ จริง ๆ แล้วเจ๊ไฝเคยได้รับคำสบประมาทมาก่อน


     โดยก่อนหน้าจะมาเป็นแม่ครัวเจ๊ไฝเคยเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้ามาก่อน และไม่เคยทำอาหารขายเลย แต่ในที่สุดก็หัดเรียนรู้ด้วยตัวเอง อาศัยครูลักพักจำบ้างเรื่องเทคนิคการใช้ไฟ เทคนิคการปรุง การรู้จักวัตถุดิบต่าง ๆ โดยใช้เวลากลางคืนที่ว่างจากงานประจำมาหัดทำ กระทั่งสามารถเปิดเป็นร้านรถเข็นแผงลอยเล็ก ๆ ขึ้นมาได้



 
           

ทำไมต้องขายแพง ทำไมต้องซีฟู้ด



     จากการเก็บหอมรอมริบด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองอยู่หลายปี จนในที่สุดก็สามารถมีร้านตึกแถวห้องเล็ก ๆ ของตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งก็คือ ร้านในปัจจุบัน มีที่นั่งอยู่ไม่เกินสิบโต๊ะด้วยกัน


     โดยเจ๊ไฝเคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน Forbes Thailand ว่าตนนั้นเรียนจบแค่ ป. 4 แต่ชอบยืมหนังสือจากหอสมุดแห่งชาติมาอ่าน และหนึ่งในนั้น ก็คือ  “3 ก๊ก” จึงทำให้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามมักมีจุดหมายเสมอ รวมถึงเข้าใจธุรกิจด้วยว่าควรเริ่มต้นลงมือทำยังไง และพอเกิดปัญหาขึ้นมาจะต้องแก้ไขอย่างไร


     นอกจากนี้ยังเป็นคนกล้าเสี่ยง โดยตั้งแต่ช่วงแรกที่พอเริ่มขายของมีกำไรได้ไม่นาน ก็คิดอยากสร้างความแตกต่างจากร้านอื่นทั่วไป จึงไปลงทุนซื้อกุ้งทะเลไซส์ใหญ่มาทดลองทำผัดไทยในแบบฉบับของตัวเองขาย เริ่มต้นที่จานละ 120 บาท ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใครกล้าขายในราคานี้


     ช่วงแรก ๆ ลูกค้าก็ตกใจ แต่ปรากฏว่ามีคนกลับมากินซ้ำอยู่เรื่อย ๆ จึงเริ่มมองเห็นฐานลูกค้าใหม่ที่เกิดขึ้น คือ ขอให้ได้กินของดีของอร่อย ยังไงก็มีคนยอมจ่าย จนนำมาใช้เป็นแนวทางในการทำธุรกิจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยพุ่งเป้าไปที่วัตถุดิบจากทะเลเป็นหลัก จนทำให้เป็นที่รู้กันดีว่าหากอยากกินเมนูอาหารทะเลคุณภาพ สดใหม่ จานโต ต้องมาที่นี่ แน่นอนว่าราคาก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วย โดยราคาเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 200 บาท ไปจนถึงเมนูพิเศษสุดอลังการอย่าง ‘ราดหน้าหอยเป๋าฮื้อเม็กซิโก’ ที่ว่ากันว่าราคาจานละเป็นหมื่นบาทกันเลยทีเดียว



 
           

ร้านเล็ก แต่ได้รับรางวัลระดับโลก

 
               
     เจ๊ไฝยังเคยให้สัมภาษณ์ไว้กับหลายสื่อว่า ตลอดระยะเวลาในชีวิตการทำอาหารที่ผ่านมา ในชีวิตตนไม่เคยจดสูตรอาหารเอาไว้เลย ทุกอย่างล้วนออกมาจากการจดจำทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น เมนูผัดขี้เมา ก็เกิดขึ้นมาจากที่ครั้งหนึ่งลูกสาวเกิดไปติดใจรสชาติผัดขี้เมาที่ร้านแห่งหนึ่งเข้า ตนจึงทดลองเดินทางไปชิมด้วยตัวเอง ซึ่งเมื่อได้ลองชิมก็มีภาพขึ้นในหัวทันทีว่าในจานนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง และจะต้องทำยังไง จนในที่สุดก็สามารถนำมาประยุกต์เป็นรูปแบบของตัวเองได้
               

     ด้วยวิธีการนี้ทำให้เจ๊ไฝสนุกกับการรังสรรค์เมนูใหม่ ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งหลายเมนูก็ถูกนำมาบรรจุเป็นเมนูประจำร้าน และหลายอย่างก็กลายเป็นเมนูสร้างชื่อ ตัวอย่างเช่นไข่เจียวปูอย่างที่เรา ๆ รู้จักกันดีนั่นเอง โดยวิธีการทำจะทอดไข่ให้ม้วนเป็นก้อนโต ๆ โดยจานหนึ่งจะใช้เนื้อจากกรรเชียงปูกว่า 300 กรัม ใส่ลงไป ทำให้เวลาเอาช้อนตักออกมาจะเจอแต่เนื้อปูก้อนใหญ่อยู่ข้างใน ซึ่งจานหนึ่งก็ราคาพันกว่าบาท นอกจากนี้ยังมีเมนูยอดนิยมที่มาแล้วต้องสั่ง อาทิ ต้มยำแห้ง ปูผัดผงกระหรี่ โจ๊กแห้ง ผัดขี้เมา เป็นต้น


     ถึงแม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ ดำเนินกิจการอยู่ในเมืองไทย แต่ด้วยเอกลักษณ์ที่มี ทำให้ร้านดังไกลถึงระดับโลก โดยเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2560 ร้านเจ๊ไฝถูกคัดเลือกจาก "มิชลิน ไกด์ กรุงเทพฯ" หนังสือแนะนำสุดยอดอาหารเลิศรสในไทยเล่มแรกให้ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว ประจำปี 2561 ซึ่งนับเป็นการได้รับรางวัลระดับโลกครั้งแรกของสตรีทฟู้ดเมืองไทย แต่เท่านั้นยังไม่พอร้านเจ๊ไฝยังได้รับรางวัลต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน คือ รางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว 4 ปีซ้อนแล้ว ทำให้ผู้คนทั่วโลกรวมถึงสำนักสื่อต่าง ๆ ต่างให้ความสนใจจับตาร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เพิ่มมากขึ้น แถมเรื่องราวของเธอยังถูกนำไปเผยแพร่เป็นสารคดี Local Heros ของสตรีทฟู้ดไทย ใน Netflix ด้วย 




 

            คว้ารางวัลล่าสุด “บุคคลต้นแบบ” เอเชีย

 

     สำหรับรางวัลบุคคลต้นแบบแห่งปี หรือ Icon Award Asia 2021 ที่ได้รับจากเว็บไซต์ theworlds50best สื่ออังกฤษ ซึ่งทำหน้าที่สำรวจและจัดอันดับ 50 ร้านอาหารที่ดีที่สุดจากภูมิภาคต่าง ๆ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ จากการลงคะแนนโหวตของคณะกรรมการกว่า 300 คน โดยต่างให้ความคิดเห็นว่าเหตุผลที่มอบรางวัลนี้ให้แก่เจ๊ไฝ เพราะมองว่าเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบ และยังใช้เทคนิคที่ต้องใช้แรงกายอย่างมากในการผลิตอาหารคุณภาพ โดยได้ให้นิยามเจ๊ไฝว่า “ราชินีแห่งสตรีทฟู้ด ผู้ทุ่มเทให้กับคุณภาพของวัตถุดิบ”


     ซึ่งก็น่าจะเป็นจริงตามนั้น เพราะอย่างเนื้อปูที่นำมาใช้ทำเมนูไข่เจียวในตำนาน เจ๊ไฝก็เคยให้สัมภาษณ์ว่าต้องลงทุนไปค้นหาฟาร์มปูที่ดีกันถึงในจังหวัดภาคใต้กันเลยทีเดียว แถมทุกวันนี้ทุกเมนูที่ยกไปเสิร์ฟให้กับลูกค้าเจ๊ไฝก็ยังคงลงมือทำเองทุกจาน ไม่เคยปล่อยพื้นที่หน้าเตาให้กับใครทำเลย
               

     และนี่คือ เรื่องราวที่มาทั้งหมดของเจ๊ไฝ ผู้หญิงร่างเล็กอายุ 76 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่กับการทำอาหารมานานเกือบครึ่งศตวรรษ จนสามารถสร้างร้านเล็ก ๆ ให้มีแฟนพันธุ์แท้ และมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงในระดับโลกได้






 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

อย่างอาร์ต! MAMAD แบรนด์แฟชั่น X ศิลปะ วาดลวดลายสไตล์ Semi Abstract สร้างความแปลก ออกแบบ “ศิลปะที่สวมใส่ได้”

“Me As My Art Daily” ศิลปะคือส่วนหนึ่งของตัวตนเราในทุกวัน คือนิยามของแบรนด์แฟชั่นสุดอาร์ตอย่าง MAMAD ที่นำเอาศิลปะและแฟชั่นมาผสานกัน กลายเป็นกระเป๋า เสื้อผ้า และหมวกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ ความแปลกตา และสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

Nyana Nyana Eco Fashion อดีตสถาปนิกนักสู้มะเร็ง สู่เจ้าของแบรนด์แฟชั่นออร์แกนิก เป็นมิตรต่อผู้สวมใส่ และสิ่งแวดล้อม

Nyana Nyana Eco Fashion แบรนด์แฟชั่นของอดีตสถาปนิกหญิงสิงคโปร์ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้พบว่าป่วยเป็นมะเร็ง แต่ “Clara Simanjuntak” กลับใช้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต ทำสิ่งดีๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าจากผ้าออร์แกนิก

บ้านโอบอุ่น ธุรกิจเล็กๆ ของนักศึกษาพยาบาล ที่ทำให้คนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนกัน

พาไปรู้จักบ้านโอบอุ่น ธุรกิจโฮมสเตย์เล็กๆ ที่ปลูกขึ้นกลางทุ่ง ของ อั้ม-พัชราภา อ่ำปั้นนักศึกษาพยาบาล ที่นั่งรถไฟจากพิษณุโลกไปเชียงดาวทุกสัปดาห์เพื่อมาทำโฮมสเตย์เล็กๆ ที่เปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อนกัน