นักวิจัยไทยเผย สูตรยืดอายุทุเรียนสดแบบแกะพู เก็บได้ 7-10 วัน เพิ่มเวลาขายนานกว่าเก่าสามเท่า



         เพราะการส่งออกทุเรียนแบบแกะพูจะทำให้ได้ราคาดีกว่า โดยเฉพาะการส่งออกจะได้กำไรไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการที่จะเปิดตลาดใหม่ๆ


          ทว่าปัญหาการส่งออกทุเรียนสดแบบแกะพูจะมีอุปสรรคที่สำคัญคือ อายุการเก็บรักษาสั้น  จึงต้องมีการควบคุมคุณภาพอย่างใกล้ชิดจากต้นทางของผู้ผลิต  จนถึงปลายทางคือผู้บริโภค
         

         ผศ. ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า อุปสรรคสำคัญของการส่งออกทุเรียนแบบแกะพูคือ เมื่อแกะเนื้อออกมาจากผลแล้วอายุในการเก็บรักษาค่อนข้างสั้น  จึงเป็นปัญหาทั้งในเรื่องของการส่งออกและการวางจำหน่าย  จึงได้ศึกษาและพัฒนาแนวทางการแก้ไขเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายปี และได้ขอรับทุนสนับสนุนการวิจัย จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เรื่อง “การบริหารจัดการสายโซ่คุณค่ามะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและทุเรียนหมอนทอง” จนสามารถพัฒนาและยืดอายุการเก็บรักษาทุเรียนสดแบบแกะพูเพื่อการส่งออกจนเป็นผลสำเร็จ  





        วิธีดำเนินการลำดับแรกคือ


         ต้องคัดเลือกผลทุเรียนที่ได้มาตรฐานซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งทุเรียนเกรดดีที่มีเปลือกสวย และทุเรียนที่มีตำหนิ และเป็นทุเรียนที่สุกพอดี เพื่อนำมาแกะเอาเฉพาะเนื้อ  โดยจะคัดเลือกแต่พูที่สวยน่ารับประทาน ได้มาตรฐานแล้วนำไปบรรจุกล่องที่โรงงานมาตรฐานส่งออก ในกล่องที่บรรจุทุเรียนจะใส่ซองบรรจุสารดูดซับก๊าซเอททิลินเพื่อชะลอให้ทุเรียนสุกช้าลง ("เอททิลีน" เป็นสารที่ผลไม้แก่เต็มที่ เช่น ทุเรียน มะม่วง กล้วย สร้างขึ้นเองโดยธรรมชาติเพื่อเร่งการสุก) 


         กล่องที่บรรจุจะต้องเป็นกล่องพลาสติกแบบแอนตี้ฟ็อก ที่ป้องกันการเกิดหยดน้ำและป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าขึ้นในกล่อง  วิธีการนี้จะช่วยยืดอายุทุเรียนแกะพูจากไม่เกิน 3 วัน ให้เป็น 7-10 วัน


       ดังนั้นจึงมีเวลาเพียงพอสำหรับการขนส่ง การส่งออกสินค้าสำหรับผู้ค้าที่อยู่ปลายทาง และมีเวลาเพียงพอที่จะวางสินค้าให้อยู่ในตลาด สำหรับประเทศที่ส่งออกคือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตลาดระดับพรีเมียมที่ผู้บริโภคสั่งซื้อด้วยระบบพรีออเดอร์ 





ช่วยเพิ่มมูลค่าทำกำไรไม่ต่ำกว่า 50%



          ข้อดีของการส่งออกทุเรียนแบบแกะพูคือ สามารถนำทุเรียนที่เปลือกไม่สวยแต่เนื้อดีมาใช้ได้  แต่ข้อเสียคือ ในทุเรียนหนึ่งผลอาจจะคัดทุเรียนเนื้อดีได้ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ทุเรียนส่วนที่เหลือที่ไม่ได้คุณภาพก็จะถูกนำไปแยกขายตามเกรด ดังนั้น ราคาขายปลายทางของทุเรียนแบบแกะพูจึงค่อนข้างสูง เช่น ในสหรัฐอเมริกาผู้บริโภคซื้อในราคากล่องละประมาณ 30-40 เหรียญสหรัฐ  ขณะที่ต้นทุนทุเรียนที่ออกจากสวนอยู่ที่ประมาณ 150 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อบวกค่าดำเนินการต่างๆ เช่นบรรจุกล่อง ค่าขนส่งทางเครื่องบิน  ผู้ส่งออกจะได้กำไรไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์


         แต่ปัญหาของการส่งออกด้วยวิธีแกะเนื้อคือ มีปริมาณผลทุเรียนคุณภาพดีไม่เพียงพอ  เพราะทุเรียนผลส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปประเทศจีน  ดังนั้น เพื่อให้มีผลทุเรียนเพียงพอสำหรับใช้งานจึงต้องดำเนินการแบบครบวงจรจากต้นทางคือ ส่งเสริมกระบวนการเพาะปลูกที่ได้มาตรฐานให้แก่เกษตร  ซึ่งเป็นโครงการที่ศูนย์วิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว  มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในการจัดการความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตทุเรียนเพื่อการส่งออกให้แก่เกษตรกรในจังหวัดอุตรดิตถ์  ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการส่งออกทุเรียนแบบแกะพูไม่มาก  ในขณะที่ตลาดในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีความต้องการสูงมาก  จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ส่งออกของไทย



         

         ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า  ในแต่ละปีประเทศประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกทุเรียนเป็นอันดับ 1 ของโลก ในปี 2562 มีการส่งออกผลทุเรียน และผลิตภัณฑ์แปรรูป (ทุเรียนสด ทุเรียนแช่แข็ง ทุเรียนอบแห้ง ทุเรียนกวน) มีปริมาณ 680,872.5 ตัน มีมูลค่ารวมถึง 51,035.7 ล้านบาท และกว่าร้อยละ 95 ของปริมาณส่งออกทั้งหมดถูกส่งออกในรูปของทุเรียนสด (แบบผล และแบบแกะพู) ทุเรียนแบบผลแม้จะมีราคาต่ำกว่าทุเรียนแบบแกะพู แต่ผู้บริโภคก็ไม่สามารถทราบได้ว่าเนื้อที่อยู่ในผลนั้นจะมีคุณภาพดีหรือไม่ 


          “การส่งออกทุเรียนผลสดผู้บริโภคไม่สามารถมองเห็นคุณภาพเนื้อทุเรียนได้  จึงมีแนวโน้มว่าผู้บริโภคจะเปลี่ยนรสนิยมไปบริโภคทุเรียนแบบแกะพูมากขึ้น เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีผู้ขายทุเรียนสดแบบแกะพูเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก  ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิต ผู้ส่งออกที่จะเปิดตลาดใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูง”



 
 



www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

ส่งไม้ต่อจากรุ่นสู่รุ่น “ไชยแสง” โมเดิร์นเทรดตำนานเมืองสิงห์ ทำอย่างไรจึงยืนหยัดนานกว่า 30 ปี

เมื่อทายาทรุ่นใหม่เข้ามาสานต่อกิจการ ไม่ได้เพียงรับช่วงต่อ แต่ยังรับเอาหัวใจของธุรกิจ คือความเข้าใจผู้คนในท้องถิ่น และกล้าที่จะปรับเปลี่ยน จึงทำให้ธุรกิจไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ “ห้างไชยแสง” สิงห์บุรี

SME ต้องรู้!!! 5 เทรนด์ Up Coming ปี 2026 รู้ก่อน เท่ากับ โอกาส

ปี 2026 สิ่งที่ SME ไทยต้องโฟกัสคือการนำเทรนด์ใหม่ๆ ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามทุกอย่าง แต่ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะกับปัญหาและเป้าหมาย และเทรนด์ทั้ง 5 นี้ คือ “เข็มทิศ” ที่จะช่วยให้ SME ไทยเตรียมรับมือและพลิกเกมธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดในปี 2026

ชวพล ลีพิพัฒน์ไพบูลย์ อดีตวิศวกรผู้หมดไฟ สู่เจ้าของ Shindo Ramen ร้านราเมนเล็กๆ ที่ได้ไปยืนอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ญี่ปุ่น

โจ-ชวพล ลีพิพัฒน์ไพบูลย์ อดีตวิศวกรที่ผันตัวเองจากภาวะ Burnout ในชีวิตการทำงาน มุ่งหน้าสู่ญี่ปุ่น ใครจะคิดว่าจากการตัดสินใจในวันนั้นจะนำพาเขาเข้าสู่โลกของราเมน อาหารต้นตำรับของญี่ปุ่น ที่ได้สร้างโอกาสให้กับชีวิตมากมาย