หลังจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ ได้สร้างทั้งบาดแผลและบทเรียนมากมายทั้งในแง่การดำเนินชีวิต หรือแม้กระทั่งในการดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย บริษัท สลิงชอท กรุ๊ป ได้สัมภาษณ์ CEO ในประเทศไทย จำนวน 50 ท่านถึงทิศทางการทำงานและการดำเนินธุรกิจในโลกอนาคตว่าจะเดินไปในทิศทางใด
นี่คือบทสรุปอย่างย่นย่อ 7 ทิศทางที่เหล่า CEO เชื่อว่าจะเกิดขึ้น
1. เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นหลังจากนี้ : ผู้บริหารมองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น (เมื่อเทียบกับช่วงวิกฤต) เพราะวัคซีนเข้ามาช่วยควบคุมการระบาดของโรคได้ดีขึ้น จะมีการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวและทำการค้า โควิดกำลังจะกลายมาเป็นโรคประจำถิ่น ธุรกิจจะขับเคลื่อนไปได้มากขึ้น การส่งออกจะดีขึ้น แต่ก็มีปัจจัยที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ อัตราเงินเฟ้อ และต้นทุนที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากค่าน้ำมันและสงครามรัสเซีย-ยูเครน
2. การปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงองค์กร : เมื่อโลกเปลี่ยน องค์กรก็ต้องปรับ โดยรวมๆ นี่คือ 4 เรื่องสำคัญ
- การปรับโครงสร้างองค์กรและแนวทางในการทำงาน ทั้งในเรื่องของอำนาจสั่งการที่จะมีการกระจายตัว (Decentralize) มากขึ้น และความรู้ความสามารถของพนักงานที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งในแง่ของการ Up Skills, Re Skills และ New Skills
- การปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไป ผู้บริหารต้องหันมาสนใจผลลัพธ์ (Output & Results) มากกว่าการดูที่ความพยายามและเวลาในการทำงาน (Input & Time-based)
- การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่รวดเร็วขึ้น
- การดูแลคนและปรับวัฒนธรรมองค์กร เพราะคนเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ ดังนั้นองค์กรต้องสรรหา พัฒนา และรักษาคนที่ใช่ (Right People) รวมทั้งสร้างสรรค์และส่งเสริมวัฒนธรรมในการทำงานที่สอดคล้องกับทิศทางและเป้าประสงค์ (Purpose) ขององค์กร
3. การทำงานแบบไฮบริดจะเป็นการทำงานรูปแบบใหม่ : แต่ใจจริงแล้วผู้บริหารยังอยากให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศมากกว่าทำงานจากบ้าน เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่ชัดเจน เกิดความสัมพันธ์ที่ดี และมีความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน ดังนั้นความท้าทายจึงอยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะสร้างสมดุลระหว่างการทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) กับการสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกันระหว่างพนักงานให้เกิดขึ้น
4. การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้พนักงาน (Employee Experience) : จากนี้ไป พนักงานรุ่นใหม่ๆ ไม่ได้ทำงานเพราะเงินเพียงอย่างเดียวแล้ว (แม้เงินจะยังคงเป็นสิ่งสำคัญ) พวกเขามองหาประสบการณ์ดีๆ ในการทำงาน อยากรู้สึกว่างานมีคุณค่า มีอิสระในการทำงาน และทีมความร่วมไม้ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้เป้าหมายทั้งส่วนตัวและองค์กรบรรลุผลไปพร้อมๆ กัน
5. กลยุทธ์เรื่องคนมีความสำคัญ เพราะธุรกิจยังต้องขับเคลื่อนด้วยคน : จากผลสำรวจพบว่าผู้นำกว่า 60% มองว่าคนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ การสรรหา พัฒนาและรักษาคนเก่งคนดีไว้กับองค์กร เป็นความสำคัญลำดับต้นๆ ที่ต้องใส่ใจ
6. การนำข้อมูลเกี่ยวกับคนในองค์กรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการตัดสินใจ (People Analytic) : ผลการสำรวจพบว่า องค์กรที่จะประสบความสำเร็จในโลกอนาคต ต้องสามารถใช้ข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ภายในองค์กร โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร มาใช้ประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
7. การบริหารความหลากหลายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Diversity and Inclusion) : ผลการสำรวจพบว่าผู้นำส่วนใหญ่ คิดว่าองค์กรของตนเอง สามารถบริหารจัดการความแตกต่างหลากหลายได้ดี แต่จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลับพบว่าส่วนใหญ่ทำได้แค่ระดับ 1 - 2 จากโมเดล 4 ระดับในการบริหารความหลากหลาย โดยพบว่าเรื่องที่ยังทำได้ไม่ค่อยดีคือ การบริหารความหลากหลายในการทำงานระหว่างเจนเนอร์เรชั่น การจัดการกับการล่วงละเมิด (Harrassment) ต่างๆ เช่น การใช้คำพูด หรือการใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
โดยสรุปแล้ว คนกับเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโต องค์กรต้องส่งเสริมให้พนักงานทุกคนพัฒนาความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Power Skills) และพัฒนาภาวะผู้นำ (Leadership) ให้เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งต้องส่งเสริมให้มีการนำข้อมูลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจและตัดสินใจอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม