ร.ต. จีรศักดิ์ จูเปาะ สุภาพบุรุษกาแฟ ผู้บุกเบิกโรบัสต้าบนดอยช้าง ปูอนาคตธุรกิจกาแฟไทย ในวันที่โลกร้อนขึ้น

Text/ Photo : Surangrak Su.


     “เอากาแฟใต้..มาปลูกทางเหนือ..บ้าหรือเปล่า?

     นี่คงเป็นความรู้สึกที่หลายคนคิดอยู่ในใจ เมื่อเห็น บี๋ - ร.ต. จีรศักดิ์ จูเปาะ ชายหนุ่มชาติพันธุ์แห่งบ้านห้วยน้ำมา ดอยช้าง จ.เชียงราย นำมาส่งเสริมชาวบ้านให้หันมาปลูกกาแฟโรบัสต้ากันมากขึ้นเมื่อเกือบสิบปีก่อน เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน มากกว่าสายพันธุ์อาราบิก้าที่เดิมนิยมปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ เนื่องจากผลกระทบภาวะโลกร้อน (Climate Change) ทำให้ผลผลิตที่ได้แต่ละปีลดปริมาณลงเรื่อยๆ

     ในวันที่ใครๆ ก็ไม่เอาด้วย จีรศักดิ์ตัดสินใจลงมือปลูกต้นกล้ากาแฟกว่าแสนต้นที่เตรียมไว้ บนที่ดินกว่า 200 ไร่ ด้วยตัวเอง หลายปีผ่านไปสิ่งที่ตั้งใจไว้ก็สัมฤทธิ์ผล กาแฟโรบัสต้าที่นำมาปลูกเริ่มออกดอกผล ขายได้ราคาดีแทบไม่ต่างจากพันธุ์อราบิก้า เพราะการดูแลใส่ใจอย่างดี ชาวบ้านเริ่มมองเห็นถึงความเป็นไปได้ ทำให้ปัจจุบันพื้นที่บนดอยช้างเริ่มเต็มไปด้วยต้นกาแฟโรบัสต้าที่มีความแข็งแรง ทนทาน ให้ผลผลิตดี โดยมี YaYo (หญ่าโย) ฟาร์มและร้านกาแฟที่เขาเป็นหนึ่งในผู้ดูแล เป็นศูนย์กลางให้ความรู้ ควบคู่กับการพัฒนากาแฟโรบัสต้าให้ดียิ่งๆ ขึ้น

Q : ช่วยเล่าที่มาการนำโรบัสต้า ซึ่งเป็นกาแฟที่นิยมปลูกทางใต้ มาบุกเบิกปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะบนดอยช้างให้ฟังหน่อย

     จุดเริ่มต้นมาจากเมื่อเกือบสิบปีก่อน ผมกลับมาอยู่บ้านและแต่งงาน หมู่บ้านผมชื่อว่า “ห้วยน้ำมา” เป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนดอยช้าง มีแค่ 50 ครอบครัว เป็นพื้นที่ราบ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 560-600 เมตร ทำให้ไม่สามารถปลูกกาแฟอาราบิก้าได้เหมือนกับพื้นที่สูงบนยอดดอย การเพาะปลูกส่วนใหญ่ที่ทำได้ คือ การปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งต้องใช้ยาฆ่าแมลงเยอะ เกือบทุกปีจะมีคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง 3-5 คนเป็นอย่างน้อย จากการป่วยสะสมที่ใช้สารเคมีเยอะ

     เลยทำให้เกิดความคิดว่าเราอยากช่วยเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพชีวิตของเขาให้ดีขึ้น จึงคุยกันกับภรรยา (คุณสุกัญญา บีซีทู) ซึ่งอยู่ที่หมู่บ้านดอยช้าง เป็นพื้นที่สูง ครอบครัวทำไร่กาแฟอาราบิก้า ว่าถ้าที่นี่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ งั้นลองปลูกกาแฟโรบัสต้าไหม เพราะไม่ต้องอยู่ในพื้นที่สูงก็ปลูกได้ ในตอนนั้นเราเริ่มมองเห็นแนวโน้มภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้อาราบิก้าเดิมที่ปลูกอยู่ให้ผลผลิตน้อยลงเรื่อยๆ บอกตรงๆ ว่ามีแต่คนไม่เชื่อว่าจะทำได้ ผมลงทุนเพาะต้นกล้าไว้เกือบแสนต้น เพื่อให้ชาวบ้านเอาไปทดลองปลูก ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจเลย ด้วยความเสียดายต้นกล้าที่เพาะไว้ ผมเลยหาซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อเอามาทำเอง รวมแล้วปลูกไปเกือบ 200 ไร่ได้ หลายปีผ่านไปต้นกาแฟเริ่มให้ผลผลิตออกมา แล้วเราก็สามารถขายได้จริง ทำให้ตอนนี้ผมไม่ต้องพูดอะไร พอชาวบ้านเห็นว่าทำแล้วมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ เขาก็จะทำตามเอง

Q : นอกจากช่วยชาวบ้านให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ทั้งรายได้และสุขภาพ คุณมองว่าโรบัสต้า คือ หนทางไปต่อให้กับวงการกาแฟไทยหรือเปล่า

     ใช่ครับ ผมมองทิศทางของโลกว่าคงไม่มีโอกาสที่อุณหภูมิจะเย็นลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งการปลูกอาราบิก้าต้องถูกควบคุมด้วยปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะต้องปลูกอยู่ในพื้นที่สูง ทำให้ผลผลิตที่ได้น้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก เพราะอากาศที่ร้อนขึ้น ผมจึงมองว่าโรบัสต้า คือ หนทางไปต่อให้กับกาแฟไทยได้ เพราะลองมองดูในกลไกตลาดโลก

     ทุกวันนี้การบริโภคกาแฟโรบัสต้าก็เพิ่มมากขึ้นด้วย เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว อัตราการบริโภคระหว่างโรบัสต้ากับอาราบิก้า คือ 60 : 40 แต่ ณ วันนี้เปลี่ยนเป็น 80 : 20 แล้ว ไม่ใช่เพราะคนต้องการกินโรบัสต้ามากกว่า แต่เพราะเราปลูกอาราบิก้าได้น้อยลง เพราะฉะนั้นจะต้องทำยังไง เพื่อหากาแฟคุณภาพมาทดแทนอาราบิก้าให้ได้ เลยมีการส่งเสริมการปลูกกาแฟโรบัสต้าคุณภาพที่เรียกว่า “Fine Robusta” หรือ โรบัสต้าคุณภาพสูง ถ้าเทียบกับอาราบิก้า ก็คือ การทำกาแฟ Specialty Coffee นั่นเอง

Q : การปลูกกาแฟโรบัสต้าทางภาคเหนือ ได้เปรียบ หรือแตกต่างจากการปลูกในพื้นที่อื่นอย่างไร

     ความโชคดีของการปลูกกาแฟทางเหนือ คือ เรามีสกิลและฝีมือ มีความละเมียดละไมจากการทำอาราบิก้าอยู่แล้ว พอมาทำโรบัสต้า เขาก็ทำแบบเดียวกัน เริ่มตั้งแต่การเก็บเมล็ดที่ดี เมล็ดที่สุกทั้งหมด การโปรเซสที่สะอาด เลยทำกลิ่นและรสชาติออกมาได้ดี ทำให้ ณ วันนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่กาแฟสเปรย์ดราย (กาแฟผงสำเร็จรูป) เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่เราสามารถเอาโรบัสต้ามาดริปกินแบบอาราบิก้าได้เลย

Q : จากการพัฒนาคุณภาพการปลูกกาแฟโรบัสต้าขึ้นมา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรขึ้นมาบ้าง

     สมัยหนึ่งราคากาแฟอาราบิก้าที่เป็นผลเชอรี่สดจะตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 25 บาท ในขณะที่กาแฟโรบัสต้าขายได้ราคากิโลกรัมละ 10-15 บาท แต่ ณ วันนี้ราคาของอาราบิก้าขยับขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัมละ 35-40 บาท โรบัสต้าก็อยู่ที่กิโลกรัมละ 35-40 บาทเหมือนกัน คือ เท่ากัน แต่ถ้าเปรียบเทียบผลผลิตต่อต้นต่อปี อาราบิก้า 1 ต้นจะได้ผลผลิตประมาณ 20 กก. ในขณะที่โรบัสต้าให้ผลผลิตต่อต้นสูงถึง 40-60 กก. หลายเท่าตัวเลย นอกจากนี้โรบัสต้ายังสามารถทนแล้งกว่าได้ดีกว่า ไม่ต้องอยู่ในพื้นที่สูงมาก ก็สามารถปลูกได้ ตอนปลูกอาราบิก้า เราอาจช่วยพี่น้องบนดอยได้สัก 10% เพราะถูกจำกัดด้วยระดับความสูง แต่ถ้าเป็นโรบัสต้า เราอาจช่วยได้มากถึง 90% เลยก็ได้ เพราะพื้นที่ราบตรงไหนที่ไม่ได้ปลูกพืชอื่น เราสามารถเอากาแฟโรบัสต้าไปปลูกเสริมได้

Q : นอกจากเป็นบุคคลแรกๆ ที่บุกเบิกนำโรบัสต้ามาปลูกบนดอยช้างแล้ว อยากให้พูดถึงตัวธุรกิจแบรนด์กาแฟและร้านที่ชื่อ “YaYo(หญาโย่) หน่อย

     จริงๆ แล้วพื้นที่ตรงนี้เป็นของครอบครัวภรรยาผม ซึ่งเป็น 1 ใน 40 ครอบครัวยุคแรกๆ ที่มีการปลูกกาแฟบนดอยช้าง เราเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ที่มารับช่วงต่อ โดยมองกันว่าการจะทำให้เกิดความยั่งยืนขึ้นมาได้จริงๆ เราต้องทำให้เป็นไฟนอลโปรดักต์ให้ได้ เพื่อเป็นมรดกตกทอดทั้งเรื่ององค์ความรู้ก็ดี การทำเกษตร และวัฒนธรรมก็ดี เราเลยกลับมาที่การสร้างแบรนด์ร่วมกับคนในชุมชน โดย หญ่าโย แปลว่า “สุภาพบุรุษ” เป็นภาษาอาข่า ซึ่งเราเอามาจากคาแรกเตอร์ของกาแฟที่ปลูกในดอยช้างที่ส่วนใหญ่มีความเป็นนัตตี้ โกโก้ ช็อกโกแลต ดาร์กช็อก ค่อนข้างสูง มีบอดี้ที่สตรอง หนักแน่น นุ่มนวล

     แต่อีกนัยยะแฝง คือ เรื่องความยุติธรรม ความเป็นสุภาพบุรุษในที่นี้มาจาก 3 เรื่อง คือ 1.ความยุติธรรมกับเกษตรกร ราคาขายที่ไม่เอาเปรียบ การส่งเสริมให้องค์ความรู้ใหม่ๆ 2.ความยุติธรรมกับลูกค้า ได้ดื่มกาแฟที่มีคุณภาพ อร่อย สะอาด ปลอดภัย และ 3. ความยุติธรรมต่อสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดของเราเอง และเกษตกรในเครือข่ายจะไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมปลูกต้นไม้ร่วมกับการปลูกกาแฟ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น และยังเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรด้วย เช่น อโวคาโด้, แมคคาดีเมีย ทั้งสามส่วนนี้ คือ องค์ประกอบสำคัญที่ก่อให้เกิดความยั่งยืนร่วมกัน จริงๆ ช่วงแรกค่อนข้างติดขัดเหมือนกัน เพราะที่บนดอยเอาไปขอเครดิตไม่ได้ ไม่มีหลักทรัพย์ แต่โชคดีที่ตอนนั้นได้ SME D Bank ช่วยแนะนำ บสย.ให้ เป็นผู้ค้ำประกัน เราเลยนำมาต่อยอดได้

Q : ได้ข่าวว่าคุณมีการนำนวัตกรรมมาใช้พัฒนากาแฟ เพื่อเพิ่มมูลค่า จนอาจเรียกว่าเป็น “กาแฟโลกใหม่” ได้เลย?

     ตอนนี้เรามีการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เป็นโปรเจกต์ที่เรียกว่า “7 Day” เป็นแนวคิดมาจากภรรยาผม ที่คิดอยากดื่มรสชาติกาแฟในแต่ละวันไม่ซ้ำกัน โดยทำงานร่วมกับนักวิจัยในการนำยีสต์ในพื้นที่มาเพาะเลี้ยง เพื่อดึงกลิ่น รสชาติที่โดดเด่นของกาแฟนั้นๆ ออกมา โดยปกติรสชาติของกาแฟจะขึ้นอยู่กับ 1.สายพันธุ์ 2.พื้นที่ปลูก 3.การโปรเซส การนำยีสต์มาใช้ก็อยู่ในกระบวนการนี้

     ยกตัวอย่างเช่น สมมติถ้าเป็น Monday ในกาแฟดอยช้างอาจมีจุลินทรีย์ล้านตัว คาแรกเตอร์ที่โดดเด่น คือ มีความเป็นดาร์กช็อก, นัตตี้, คาราเมล แต่อาจมีจุลินทรีย์ที่มีกลิ่นผลไม้สีเหลือง เช่น มะม่วง, สับปะรด, กล้วย สัก 4-5 ตัวก็ได้ เราก็ดึงตัวนั้นออกมาแล้วใช้ยีสต์มาเพาะเลี้ยง เพื่อดึงคาแรกเตอร์ออกมา เป็นมิติใหม่ของกาแฟในไทยเลย และหนึ่งในวิธีสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตที่อาราบิก้าจะลดลงเรื่อยๆ โดยราคาขั้นต่ำที่เราทำได้ตอนนี้ คือ 800 บาท/กก. สำหรับกาแฟสารนะหรือกาแฟดิบ ยังไม่ได้นำไปคั่ว

Q : มองภาพอนาคตของกาแฟไทยไว้อย่างไรบ้าง

     ผมมองว่าจุดเด่นของวงการกาแฟบ้านเรา คือ เราเป็นประเทศที่ทุกกระบวนการผลิตกาแฟตั้งแต่ต้นน้ำ จนถึงปลายน้ำ เกษตรกรเจ้าของสวน, โรงคั่ว, ร้านกาแฟ และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถติดต่อถึงกันได้โดยตรง แต่ประเทศอื่นทำได้ยากกว่า อย่างเกาหลีเป็นประเทศที่มีการกินกาแฟเยอะ แต่ปลูกไม่ได้ เขาไม่สามารถติดต่อไปยังโรงคั่วได้โดยตรงว่า ทำไมกาแฟล็อตนี้ถึงคัปปิ้งแล้วไม่อร่อย เพราะโรงคั่วก็ไม่รู้จะไปถามใคร ก็ต้องติดต่อไปถึงประเทศต้นทางที่นำเข้ามา แต่ของบ้านเราสามารถทำได้เลย ทุกส่วนสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้หมด สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังได้ นี่คือ ส่วนสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนาการทำกาแฟได้ไกลกว่าในหลายๆ ประเทศ และเป็นเหตุผลว่าทำไมธุรกิจกาแฟไทย ถึงโตได้แบบก้าวกระโดด ตั้งแต่เราเริ่มหันมาพัฒนาคุณภาพกาแฟแบบจริงจังมากขึ้น

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

KUSU เทียนหอมเสมือนจริง ที่มี “รูปทรงหิน” เป็นตัวตึง ฝีมือสุดทึ่งของสถาปนิกไทย

เหมือนจนอยากเก็บ สวยจนไม่อยากจุด กับ KUSU แบรนด์เทียนหอมสุดอาร์ต งานคราฟต์สุดจึ้ง ที่มีลูกเล่นอยู่ที่ “ความเสมือนจริง” ฉีกกฎตลาดของแต่งบ้านและเทียนหอมแบบที่เคยเห็นกันมา แต่กว่าจะถึงวันนี้ ก็ต้องเสียน้ำตา(เทียน) ไปมากมายทีเดียว

เดินเกมแบบไม่ใหญ่ แต่ไปได้ไกล! ถอดสูตรความสำเร็จ Awesome Screen โรงงานเสื้อที่โตสวนกระแส

อยากรู้ว่า Awesome Screen โรงงานรับสกรีนและตัดเย็บเสื้อยืดแบบ OEM ทำอย่างไรให้ธุรกิจผ่านพ้นวิกฤต และเติบโตได้อย่างมั่นคงในวันที่โลกไม่แน่นอน ตามไปดู “กลยุทธ์” ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จกันได้เลย

มินิกอล์ฟแบบเดิมต้องหลบไป! เมื่อแม่ลูกชาวสิงคโปร์เปิดสนามแนวผจญภัย ไขปริศนาฆาตกรรมที่คนแห่จองเพียบ

ท่ามกลางโลกของธุรกิจที่แข่งขันกันด้วยนวัตกรรม บางครั้งสิ่งที่แปลกที่สุด กลับเป็นสิ่งที่โดนใจที่สุด เช่นเดียวกับ Kulnari Mystery Golf สนามมินิกอล์ฟแห่งแรกของสิงคโปร์ที่ผู้เล่นไม่ได้มาเพื่อตีลูกเข้าหลุมเท่านั้น แต่ต้องสวมบทนักสืบไขปริศนาต่างๆ