Text : Nitta Su.
Photo : Nim, The Scenery Vintage Farm
ถ้าพูดถึงที่พักอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี หนึ่งในที่พักที่เคยสร้างปรากฏการณ์ลูกค้าแย่งกันจองเข้าพัก ต้องมีชื่อ “ซีนเนอรี่ สวนผึ้ง” หรือชื่อเต็ม คือ “The Scenery Vintage Farm” กิจการที่พักยุคแรกๆ ของสวนผึ้งที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร มีฟาร์มแกะของตัวเองรวมอยู่ด้วยแน่นอน ทุกวันนี้แม้จะเปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 20 ปี แต่ลูกค้ายังคงเหนียวแน่น อัตราการเข้าพักเฉลี่ย 80-99% ทุกปี สวนกระแสสภาพเศรษฐกิจยุคนี้ อะไรคือเคล็ดลับ ดวงกมล ชุติมันต์ กรรมการบริหาร The Scenery Vintage Farm จะมาเล่าให้ฟัง
น้อยแต่มาก เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ
ถ้าพูดถึงเอกลักษณ์ของที่พักในอำเภอสวนผึ้ง หลายคนคงนึกถึงบ้านปูนสีขาว สไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ซีนเนอรี่ คือ ที่พักแรกๆ ที่หยิบสไตล์ดังกล่าวมาใช้
“เราเริ่มจากสร้างบ้านของตัวเองก่อน จนเพื่อนพากันมาเที่ยวเยอะขึ้น เลยสร้างบ้านเพิ่มเพื่อเปิดเป็นที่พัก เริ่มต้นจาก 3 หลังก่อน ก็ได้รับความนิยมมากๆ คนจองกันเข้ามาล่วงหน้า 6 เดือน ต่อมาจึงขยายเพิ่มเป็น 9 หลัง มี 10 ห้อง ปัจจุบันผ่านมา 20 ปี เราซื้อที่เพิ่มจาก 7 ไร่ เป็น 37 ไร่ แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังคงทำเท่าเดิม ถึงจะมีแพลนว่าอาจขยายที่พักสไตล์โรงแรมเพิ่ม แต่ก็ทำอีกแค่สิบกว่าห้องเหมือนกัน ถามว่าด้วยพื้นที่เยอะขนาดนี้ ทำไมเลือกที่จะเปิดแค่นี้ เพราะเราอยากให้เป็นไพรเวทมากๆ อยากให้ลูกค้ารู้สึกไม่เหมือนที่อื่น
ถ้าคิดเป็นจำนวนเงินเป๊ะๆ ไม่คุ้มแน่นอน แต่เราเอากิจกรรมอื่นมาบวกเพิ่มด้วย เช่น ขี่ ATV ท่องเที่ยว ลูกค้าเราเป็นกลุ่ม B+ ถึง A มีกำลังจ่ายแน่นอน ขอแค่ทำบริการให้ถึงมาตรฐานของเขา สมมติที่อื่นขาย 800 บาท เราขาย 2,000 บาท แต่ขายได้ เพราะมีบริการพิเศษเพิ่มเข้าไป เช่น มีสต๊าฟไปด้วย, มี Route ที่ไม่เหมือที่อื่น, มีบริการถ่ายภาพ, มีเซ็ตปิ๊กนิคให้ เลยทำให้ทดแทนจำนวนห้องพักที่มีอยู่น้อยได้”
ข้อคิดที่ได้
- ทำจำนวนน้อยๆ เน้นที่คุณภาพ ขายได้ยาวๆ ขายได้ราคาดีกว่า
- เพิ่มบริการเสริม ขยายโอกาสทำรายได้เพิ่ม
ฉีกความต่าง สร้างความโดดเด่น
หลังเปิดตัวที่พักได้ไม่นาน ผู้บริหารซีนเนอรี่ เล่าว่าที่พักสไตล์บ้านปูนสีขาว ก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นในสวนผึ้ง จึงอยากหาความแตกต่างให้ธุรกิจ จึงนำแกะมาเลี้ยง ทำเป็นฟาร์มแกะเล็กๆ แต่จากที่ตั้งใจอยากให้เป็นแค่กิมมิคของที่พัก ต่อมาภายหลังกลับกลายเป็นที่ท่องเที่ยวสุดฮอตที่เกิดขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ
“เราเปิดที่พักมาได้ไม่กี่ปี เริ่มรู้สึกว่าถ้าเป็นที่พักอย่างเดียว มันดูแห้งๆ ไปหน่อย ไม่ค่อยมีชีวิต เลยอยากลองหาสัตว์เลี้ยงมาเพิ่ม อยากได้อารมณ์ฟาร์มชนบทในต่างประเทศ เพราะตอนนั้นที่พักสไตล์บ้านปูนสีขาว ก็เริ่มมีเยอะขึ้น เราต้องหาอะไรมาเพิ่ม เพื่อให้ฉีกออกไป ก็เลยเอาแกะมาเลี้ยง ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่าในบ้านเราก็มี คนอิสลามเขาเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะกันอยู่แล้ว เราเลยขอซื้อมาและเอามายีขนให้ฟูๆ ปรากฏว่าน่ารักมาก เลยลองเอาไปปล่อยไว้ด้านหน้า ก็เกิดปรากฏการณ์คนมาจอดรถดู มาถ่ายรูป บางคนมานั่งปูเสื่อปิ๊กนิค รถติดยาวเหยียด เลยมองว่าเป็นโอกาสให้ทำธุรกิจท่องเที่ยวเพิ่ม ก็เปิดขายบัตร ทำเป็นฟาร์มแกะจริงจัง และเลี้ยงสัตว์อย่างอื่นเพิ่ม เช่น ม้า, เป็ด
เราเป็นเจ้าแรกๆ เลยที่ทำแบบนี้ พอคนมาเที่ยวเยอะขึ้น เราอยากสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ก็เลยทำเป็นฟาร์มปลอดโรคที่แรกภาคตะวันตก เพิ่มมาตรฐานเข้าไปอีก มีการดูแลอย่างดีอาบน้ำอาทิตย์ละครั้ง มีสัตวบาลเข้ามาดูแลตลอด จนต่อมาก็เริ่มมีฟาร์มแกะในรูปแบบท่องเที่ยวเกิดขึ้นมาเยอะขึ้น เราเลยพยายามฉีกออกไปอีก เราเดินทางไปยังประเทศต้นทางที่อังกฤษและนิวซีแลนด์เลย ก็ได้เห็นโชว์หมาต้อนแกะ ก็รู้สึกชอบและในบ้านเรายังไม่มี เลยนำเข้ามาทั้งหมาต้อนแกะและแกะสายพันธุ์ใหญ่ และก็จ้างครูต่างชาติให้เข้ามาสอนคนของเรา จนสามารถทำได้ ก็เลยเปิดเป็นโชว์เพิ่มขึ้นมา นอกจากต้อนแกะ เราก็มีฝึกอย่างอื่นเพิ่มเอง เช่น แกะบวกเลข, แกะกระโดดลอดบ่วงไฟ จน กลายเป็นฟาร์มที่มีโชว์แสดงแกะที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ข้อคิดที่ได้
- พยายามสร้างความแตกต่าง เพื่อเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้ธุรกิจ
- ไม่หยุดนิ่ง พัฒนาต่อยอดไปเรื่อยๆ
สด ใหม่ อยู่เสมอ
คุณดวงกมลเล่าว่า แม้ปัจจุบันจะเปิดดำเนินการมาได้ 20 กว่าปีแล้ว แต่ที่ซีนเนอรี่ยังมีลูกค้าประจำที่ยังเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนอยู่บ่อยๆ
“หากใครเป็นลูกค้าประจำของซีนเนอรี่ จะเห็นเลยว่าเรามีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะเราอยากให้ลูกค้ามาแล้วมาอีก ไม่อยากให้เบื่อ นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่ต่างๆ เอง ไม่ว่าสวน หรือที่พัก เราพยายามใส่ใจดูแลอย่างดี มีการรีโนเวตปรับปรุงตลอดเวลา เรามีทั้งหมดพนักงาน 130 คน สัดส่วนที่เยอะที่สุด คือ ดูแลพื้นที่ ทำให้ถึงจะผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูดี ดูใหม่อยู่เสมอ และเป็นเหตุผลให้ลูกค้ากลับมาหาเรา บางคนมาตั้งแต่เป็นคู่รัก จนตอนนี้แต่งงานมีลูก เขาก็ยังกลับมาหาเรา ซึ่งเป้าหมายของเรา คือ เราอยากเป็น Destination ที่คนมาภาคตะวันตก แล้วต้องนึกถึงเราเป็นที่แรก ดังนั้นมันต้องสดใหม่เสมอ ตามเทรนด์ที่เกิดขึ้นให้ทัน”
ข้อคิดที่ได้
- ธุรกิจควรพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ไม่ว่ามากี่ครั้ง ก็ยังอยากกลับมาใช้บริการเหมือนเดิม
สม่ำเสมอ จนกลายเป็นที่รัก
นอกจากการพยายามสร้างความแปลกใหม่อยู่เสมอ การดูแลธุรกิจให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา อีกหัวใจสำคัญของซีนเนอรี่ ก็คือ การบริการ ที่มากี่ครั้งก็ยังอบอุ่นเหมือนเดิม
“เรามองว่าหัวใจสำคัญอีกข้อที่ทำให้ลูกค้ายังรักเรา ก็คือ เราตั้งใจไว้ว่าไม่ว่าจะทำอะไร ต้องทำให้เหนือความคาดหวังของลูกค้าเสมอ อย่างบ้านพัก เจ้าหน้าที่รีเซฟชั่นทั้งหมด ก่อนที่จะเข้าไปถามลูกค้าว่าต้องการอะไร อาจใช้การสังเกต แล้วรู้ก่อนว่าลูกค้าต้องการอะไร เช่น เห็นว่าพ่อลูกเดินมาตอนเช้า พนักงานควรเดินเข้าไป แล้วบอกว่าวันนี้เรามีให้อาหารเป็ดบริการนะ หรือแกะอยู่ตรงไหน แทนที่เขาจะมาถามว่าเรามีอะไรบ้าง เราก็บอกไปก่อน ดังนั้นพนักงานต้องช่างสังเกต และจำได้ว่าลูกค้าคนไหน ต้องการอะไร
เราจะบอกลูกน้องทุกคนว่าให้ดูแลลูกค้าเหมือนเราดูแลคนในครอบครัว ทำให้เขามีความสุขกับการอยู่ที่นี่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เกร็ง ไม่เป็นหุ่นยนต์ อยากให้อ่อนน้อมถ่อมตัว มีความเป็นธรรมชาติของชาวบ้านอย่างที่เขาเป็น เพราะพนักงานส่วนใหญ่กว่า 80% คือ คนในพื้นที่ แต่ให้เป็นชาวบ้านที่มีมาตรฐานโรงแรม 5 ดาวได้ ซึ่งพอเราเป็นแบบนี้ ทำให้ลูกค้ารักเรา บางทีมีปัญหาอะไรเข้ามา เขา คือ คนที่เข้ามาช่วยปกป้องเรา มาตอบทุกอย่างแทน โดยที่เราไม่ได้ขอร้องเลย ทุกวันนี้ Occupancy rate หรือ อัตราการเข้าพักของเราก็ยังสูงอยู่ อยู่ที่ประมาณ 80% ถ้าไฮซีซั่นไปถึง 99% เลยก็มี"
ข้อคิดที่ได้
- ความสม่ำเสมอที่ดี จะช่วยทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์
และนี่คือ เหตุผลว่าทำไม 20 ปีผ่านไปแล้ว แต่ The Scenery Vintage Farm ยังมีลูกค้าแย่งกันเข้ามาใช้บริการ จนต้องจองล่วงหน้าอยู่ตลอดเวลา
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี