ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย  ร้านขายข้าวต้มออนไลน์ ที่ใช้ DATA ทำธุรกิจ หนึ่งปียอดโต 400 เท่า

Text : Nitta Su.

Photo : Sunun Lorsomsub


    คุณคิดว่า Data สำคัญกับธุรกิจมากแค่ไหน? จำเป็นต้องใช้กับธุรกิจขนาดกลาง หรือใหญ่เท่านั้นหรือเปล่า?

     วันนี้จะชวนมารู้จักกับธุรกิจร้านขายข้าวต้มออนไลน์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่เพียงเปิดตัวมาได้แค่ปีกว่าๆ แต่สามารถทำยอดขายเติบโตได้ถึง 400 เท่า จากหลักพัน ไปแตะหลักแสนได้ เพราะการใช้ Data ทำธุรกิจ พวกเขาทำได้ยังไงมาดู ใครไม่กุ๊ย..ข้าวต้มกุ๊ย

อยากกินหลายอย่าง แต่สั่งมาเยอะ ก็กลัวกินไม่หมด

     ด้วยความเป็นคนชอบกินข้าวต้มกุ๊ย เป็นชีวิตจิตใจ เป็นจุดเริ่มต้นให้ กล้วย-ศิวพร เดือนแจ้ง กับ ซี-ลภณ อัครขจรไชย คู่รักดิจิทัล เอเจนซี่ ที่ทำการตลาดปั้นแบรนด์ให้ลูกค้ามานักต่อนักคิดขึ้นมาว่า ถ้าอยากเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองอีกสักอย่างนอกจากเปิดบริษัทที่ปรึกษาการตลาด ควรจะเริ่มต้นจากสิ่งที่ตัวเองชอบ นั่นก็คือ ร้านข้าวต้มกุ๊ย ที่มีคอนเซปต์ไม่ธรรมดาเลย คือ “การขายข้าวต้มเป็นเซ็ต” ที่มีให้ทั้งข้าวต้ม พร้อมกับข้าวให้เลือกได้หลายอย่าง เพราะตั้งใจหยิบ Pain Point ของคนชอบกินข้าวต้มที่อยากกินกับข้าวหลายๆ อย่าง แต่สั่งมากินคนเดียว หรือสองคนก็กลัวจะไม่หมด มาตั้งเป็นโมเดลธุรกิจ

     “ส่วนตัวเป็นคนชอบกินข้าวต้มกุ๊ยมาก เวลากินก็อยากสั่งหลายๆ อย่าง แต่ไปกันแค่สองคน ก็กลัวจะกินไม่หมด เลยต้องสั่งน้อยๆ ก็มาคิดกันว่าน่าจะมีคนที่เป็นเหมือนเราบ้าง พอมองหาธุรกิจใหม่ที่อยากจะทำ เลยคิดกันว่าอยากเปิดร้านขายข้าวต้มกุ๊ยออนไลน์ เพราะจริงๆ งานที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ที่เราทำอยู่ ส่วนใหญ่ก็ทำให้กับธุรกิจร้านอาหารมาโดยตลอด มีทั้งแบรนด์ดัง แบรนด์เล็ก เราน่าจะใช้ประสบการณ์ตรงนี้ต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้” กล้วยเล่าที่มาของ ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย ให้ฟัง

ปฏิบัติการ ชั่ง สูตรต้องเป๊ะ ต้นทุนต้องรู้

     แน่นอนว่าเมื่อนักวางกลยุทธ์การตลาดลงมือทำธุรกิจของตัวเองย่อมไม่ธรรมดา แม้จะเป็นเพียงร้านข้าวต้มกุ๊ยออนไลน์เล็กๆ แต่ทั้งกล้วยและซีก็ใส่เต็มกับธุรกิจร้านอาหารร้านแรกของพวกเขา กล้วย ซึ่งไม่ใช่เชฟ ไม่เคยเรียนมาทางด้านทำอาหาร แต่เป็นนักชิมตัวยง ถือคติชิมเป็น ก็ทำเป็น รับหน้าที่เป็นแม่ครัวใหญ่คอยออกแบบเมนูอาหารและรสชาติให้ถูกใจลูกค้า ส่วนซี ซึ่งถนัดงานด้านการวางแผน ทำหน้าที่เป็นคนวางระบบให้ธุรกิจ

     โดยข้าวต้ม 1 ชุด จะประกอบไปด้วย ข้าวต้มและกับข้าวให้เลือก 3 อย่าง ถูกใส่มาในกล่องกระดาษวงกลมที่ด้านบนมีช่องพลาสติก 3 ช่องไว้ใส่กับข้าว ขายในราคา 118 บาท ในช่วงแรกเริ่มต้นจาก 3 เมนูยอดฮิตก่อน ได้แก่ ผัดผักบุ้ง, ยำเกี้ยมฉ่ายน้ำมันงา และผัดหนามเลี๊ยบ และค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้มีให้เลือกประมาณ 10 เมนู เริ่มเปิดขายตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึง 5 ทุ่ม หรือถ้าหมดเร็ว ก็ปิดไว

     ขั้นตอนการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.ส่วนที่ปรุงสำเร็จทำเตรียมไว้อยู่แล้ว และ2.ส่วนที่ต้องทำสดใหม่ เช่น ผัดผักบุ้ง, ไข่เจียว

     “อาหารทุกอย่างจะมีการชั่งตวงวัด ทำเป็นสูตรไว้อยู่แล้ว ว่าต้องใส่อะไรบ้าง ปริมาณเท่าไหร่ ตัวซอสก็มีการทำเป็นสูตรเตรียมไว้อยู่แล้ว  เรามีหน้าที่แค่ 1 เสิร์ฟ ต่อ 1 ช้อน เพื่อให้ทำงานได้ง่ายและเร็วที่สุด พอทำเสร็จก่อนตักใส่กล่องให้ลูกค้า ก็เอามาชั่งอีกที เพื่อให้ได้เท่ากันทุกกล่อง การทำแบบนี้นอกจากจะช่วยให้ควบคุมมาตรฐาน ได้ทั้งรสชาติและปริมาณ ยังสามารถคำนวณต้นทุนออกมาได้เลยทันที และนำไปใช้ตั้งราคาได้อย่างเหมาะสม โดยเราแบ่งทุกอย่างออกมาเป็น 30% ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ, กำไร และค่า GP” ซีและกล้วยช่วยกันเล่า

เดือนแรกขายได้หลักพัน สู่ปีแรกแตะที่หลักแสนบาท 

     ในเดือนแรกที่เริ่มต้นทดลองทำ ซีและกล้วยเล่าว่าพวกเขามียอดขายเพียงแค่หลักพันบาท ไข่ซื้อมาแผงเล็ก 12 ฟอง อยู่เป็นอาทิตย์ แต่ปัจจุบันกลับใช้มากถึงวันละ 2 แผงใหญ่ หรือ 60 ฟอง เคยทำยอดขายสูงสุด 1 ชม. 4,000 บาท ทุกอย่างเกิดขึ้นมาได้ เพราะการใช้ Data มาวางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ

     “ยอดขายเดือนแรก เราทำได้แค่หลักพัน หลักพันที่ว่า คือ 1,000 บาทจริงๆ นะ แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ  เรามีการใช้ Data เพื่อเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยไม่ได้ใช้กลยุทธ์เพื่อโปรโมต หรือโฆษณา เพราะเราอยากให้โตจากความต้องการของลูกค้าจริงๆ ในทุกวันเราจะมีการเก็บข้อมูล เช่น เรารู้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบสั่งเป็นเซ็ตเดี่ยว + กับข้าวเพิ่ม 1 อย่าง เราก็ทำโปรโมชั่นร่วมกับแอปจัดเป็นเซ็ตคู่ เพื่อให้ลูกค้าได้จ่ายถูกลง หรืออย่างบางทีลูกค้าชอบสั่งอยู่ที่ราคา 180-199 บาท เราก็มีการทำเมนูขึ้นมา 1 บาท จริงๆ เพื่ออธิบายว่าเรา คือ ร้านข้าวต้ม Home Cook เล็กๆ นะ อาจทำช้าหน่อย แต่ถ้าลูกค้ากดตรงนี้จะครบ 200 บาท เขาก็ได้ส่วนลดเพิ่ม 10 บาทจากโปรโมชั่นที่เราวางไว้ โดยไม่ต้องสั่งอย่างอื่นมาเพิ่มอีก เรารู้แม้กระทั่งว่าถ้าเป็นช่วงต้นเดือน วันจันทร์กับวันพุธลูกค้าจะสั่งเข้ามาเยอะ ส่วนอังคารจะดรอปลงมาหน่อย เราก็เอาตรงนี้มาเล่นได้ ถ้าลูกค้าสั่งวันอังคารช่วงเวลานี้ ถึงนี้ จะมีโปรโมชั่นแถม หรือลดราคานะ

    “ในส่วนการผลิต นอกจากเราจะมีสูตรคำนวณการผลิตให้ได้มาตรฐานในแต่ละจานเท่ากัน เรายังมีระบบคิดเมนูที่เรียกว่า “CAPS โดยแบ่งออกไป 1) C-Complete Task เมนูที่ต้องทำได้จริงในครัว ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว 2) A–Atractiveness หน้าตาต้องดูดี จูงใจให้คนอยากกินสั่งได้ 3) P-Profit ต้องคุ้มทุน ทำขายได้จริง มีกำไร และ 4) S-Solve Customer’s Needs ต้องตอบโจทย์คนกินในวงกว้าง ซึ่งหากผ่าน 4 ข้อนี้ได้ทั้งหมด ก็จะถูกนำมาบรรจุไว้เป็นเมนูให้ลูกค้าได้เลือกในร้าน เรามองว่า Data คือ หลักวิทยาศาสตร์ คือ ความจริงที่เป็นเหตุและผล การใช้เซนส์อาจถูกส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เป็นจริงด้วย โดยจากการใช้ Data ทำให้ 1 ปีผ่านไป ยอดขายเราเติบโตได้ถึง 400 เท่า จากเดือนแรกขายได้พันกว่าบาท จนตอนนี้สูงสุดที่เคยทำได้ คือ 4 แสนบาทต่อเดือน” ซีเล่ากลยุทธ์หลักของธุรกิจให้ฟัง

เป้าหมาย สู่แฟรนไชส์ร้านข้าวต้มไซส์มินิ

     จากที่ได้เล่าให้ฟังมา กล้วยและซีบอกว่า พวกเขามอง ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย คือ ห้องทดลอง เพื่อได้ใช้ประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา รวมไปการวางระบบเพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตต่อไปได้ในอนาคตด้วย

     “เรามองว่า ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย เป็นแบรนด์ข้าวต้มกุ๊ยที่มีความแคชชวลมากขึ้น เข้ากับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ แถมยังสามารถตอบโจทย์เทรนด์ “Alone Marketing คนที่อยู่คนเดียว ก็สามารถกินกับข้าว 3 อย่างได้ หลายคนรู้สึกสนุกที่ได้เลือก ครั้งนี้กินอันนี้แล้ว ครั้งหน้าจะลองอะไรดี 

     “สำหรับเราแล้วในช่วง 1-2 ปีนี้ เรามองว่า ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย คือ ห้องทดลองห้องหนึ่ง ซึ่งเราไม่ได้มองแค่ตรงนี้ แต่ตั้งใจอยากต่อยอดให้เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ด้วย เรามองว่าข้าวต้มกุ๊ยอยู่กับรากเหง้าคนไทยมานานมาก  ถ้าเราทำสำเร็จ มันจะกลายเป็นร้านข้าวต้มกุ๊ยที่มีความเป็นฟาสฟู้ดเหมือนแมคโดนัลด์ เซสเตอร์กริลล์ได้ เพราะทุกอย่างเราวางระบบเอาไว้หมดแล้ว ไม่ว่าใครมาทำ ก็สามารถทำได้เลย ไม่ยุ่งยาก แม้แต่ไข่เจียว เรามีซอสปรุงรสไข่เจียวโดยเฉพาะที่รู้เลยว่า 1 ฟอง 1 ช้อนจบ โดยอาจทำในรูปแบบคีออสเล็กๆ ใช้คนแค่ 1-2 คน ต้นทุนไม่สูงจนเกินไป เพราะเราก็อยากให้คนอื่นได้เริ่มธุรกิจด้วยต้นทุนน้อยๆ เหมือนกัน”

     และนี่คือ สิ่งที่ทั้งคู่อยากฝากเอาไว้

     กล้วย : อยากให้ลองลงมือทำ ถ้ามีโอกาส การคิดเฉยๆ ไม่เกิดอะไรขึ้นมา จะสำเร็จ ไม่สำเร็จ เราคาดเดาไม่ได้ แต่ถ้าลงมือทำ แล้วเรียนรู้กับมันไปเรื่อยๆ สักวันต้องสำเร็จแน่นอน

     ซี : ไม่ว่าธุรกิจเล็กหรือใหญ่ อยากให้ลองตั้งเป้าหมาย แล้วใช้ Data เป็นตัวขับเคลื่อน พยายามย่อยออกมาให้มากที่สุด แล้วจะง่ายขึ้น เช่น อยากได้ 5 แสนบาทต่อเดือน ก็ต้องไปดูราคาเฉลี่ยต่อเมนู เพื่อดูว่าต้องขายกี่เสิร์ฟ สมมติจำนวน 1,000 เสิร์ฟ คุณก็ลองหาร 30 วัน เสร็จแล้วเอามาหาร 2 เพราะวันหนึ่งคุณอาจขาย 2 รอบเช้า-เย็น เท่ากับ (1,000/30) ÷ 2 = 16.5 เสิร์ฟ ดูมีกำลังใจและง่ายขึ้นเลย

     ข้อมูลติดต่อ

     โทร. 083-655-4651

     TiKTok : ใครไม่กุ๊ย ข้าวต้มกุ๊ย

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

ขายดีจนต้องจำกัดการซื้อ! LoafyCo Bakery ขายขนม 2,000 ชิ้นต่อวัน เพราะคนต่อคิวซื้อไม่หยุด

ไม่ง่ายเลยที่ร้านเบเกอรี่เล็กๆ ย่านชานเมืองจะมีคิวแน่นหน้าร้านทุกวัน จนต้องจำกัดจำนวนการซื้อ แต่ LoafyCo Bakery House คือข้อยกเว้นนั้น จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่ยอดขายวันละ 1,000-2,000 ชิ้น และรายได้ 4 ล้านต่อเดือน..ทำได้อย่างไร?

“แหนมวาสนา” จากรสมือแม่..สู่แบรนด์อาหารอีสาน ที่มุ่งมั่นพัฒนาส่งต่อวัฒนธรรมอาหารอีสานสู่ครัวโลก

ในทุกคำของแหนมวาสนา ไม่ได้มีแค่รสเปรี้ยวกลมกล่อมของอาหารอีสาน แต่ยังเต็มไปด้วยความรักและความตั้งใจของครอบครัว ที่ส่งต่อจากรุ่นแม่สู่รุ่นลูก นิชา-ณัฐธีรยา ชัยวิสิทธิ์  ที่พลิกโฉมแหนมวาสนาให้กลายเป็นแบรนด์อาหารพื้นถิ่นที่ก้าวสู่เวทีระดับโลก