Text: VaViz
Photo: EMPA Homebake
จากบันทึกความทรงจำในไดอารี่เมื่อครั้งได้ไปเรียนแลกเปลี่ยน ณ ประเทศอาเจนติน่า สู่การหยิบ Empanada (เอมปานาด้า) พายขึ้นชื่อของชาวละตินอเมริกันมาฟิวชั่นให้ถูกปากคนไทย ภายใต้แบรนด์ EMPA Homebake ของ นันทกานต์ อมรสู่สวัสดิ์ ผู้ก่อตั้งที่อยากพาขนมชนิดนี้จากอีกซีกโลกมาแนะนำให้คนในบ้านเราได้รู้จักและลิ้มลองกัน
“จุดเริ่มต้นเป็นยังไง คงต้องย้อนกลับไปสมัยที่เรียนมัธยม ที่ได้มีโอกาสไปแลกเปลี่ยนที่อาเจนติน่า ทำให้มีโอกาสได้กินพายตัวนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกใหม่อะไร หรือแม้แต่หลังจากที่กลับมานานกว่า 10 ปี ก็ยังไม่คิดที่จะทำอะไรกับสิ่งที่เคยได้ลิ้มรสมา”
แต่เมื่อ COVID-19 มาถึง “กินทุกอย่างที่อยากก็แล้ว สั่งเดลิเวอรี่ทุกอย่างมาก็แล้ว ก็ยังไม่เจอเบเกอรี่ที่ถูกใจ จนเริ่มรู้สึกว่าอยากหาอะไรใหม่ๆ” นำไปสู่การพลิกกระดาษหน้าเก่าที่เคยจดบันทึกไว้...แล้วภาพแห่งบรรยากาศและรสชาติที่เคยหลงเลือนไปก็ได้ผุดขึ้นมา
“ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นเด็กชอบจดบันทึก จึงจดทุกอย่างที่ได้พบเจอ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรากินในไดอารี่ พอได้กลับมาดูก็เห็นว่า เราสนใจเรื่องการกินมากเลยตามที่เราจดไว้ ซึ่งกลายเป็นว่ามีประโยชน์ที่เราเอากลับมาดู เพราะทำให้นึกถึงบรรยากาศนั้นๆ พร้อมรสชาติของ Empanada ที่แว๊บขึ้นมา และนี่แหละคือสิ่งที่เราอยากกลับไปกิน”
บันทึกหน้าใหม่ของ “พายลูกครึ่งสไตล์ละตินอเมริกัน-ไทย”
เพื่อให้เข้าใจตัว Empanada มากขึ้น นันทกานต์ อธิบายว่า Empanada นั้นหมายถึง แป้งที่ห่อไส้ เพราะฉะนั้น แป้งทุกประเภทในอเมริกาใต้ที่ห่อไส้ จะเรียกรวมๆ ว่า Empanada โดยมีหน้าตาคล้ายกับกะหรี่ปั๊บในบ้านเรา แต่มีรสชาติที่แตกต่างกัน
“Empanada หรือพายสไตล์ละตินอเมริกันจะเป็นพายแป้งชั้นเดียว (Single-layer Pie) ต่างจากพายปกติหรือพายสไตล์ฝรั่งเศสที่เราเห็นกันที่จะเป็นแป้งหลายๆ ชั้น โดยมีความโดดเด่นอยู่ที่การเป็นแป้งที่บางและมีไส้ที่เยอะ ซึ่งพายตัวนี้ยังสามารถนำมาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับภูมิประเทศต่างๆ ได้ด้วย”
นั่นเพราะจริงๆ แล้ว ตัว Empanada ในแต่ละพื้นที่ของอเมริกาใต้เอง เขาจะมีลักษณะเฉพาะของประเทศนั้นๆ หรือว่ามีไส้ที่โดดเด่นเฉพาะ แม้แต่ในอาเจนติน่าเอง ในแต่ละจังหวัดเขาก็จะมีไส้ของเขา
“เพราะฉะนั้น เราจึงนำมาทำที่เมืองไทย ซึ่งนอกจากจะนำเสนอความเป็นละตินอเมริกันได้แล้ว ในอนาคตเราก็อยากจะนำเสนอความเป็นไทยให้อยู่ในโปรดักต์นี้ด้วย โดยเฉพาะการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในประเทศทำเป็นไส้ใหม่ๆ เช่น ไส้แกงเขียวหวาน หรือไส้กะเพรา เพิ่มเติมจากไส้ที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างคลาสสิคละตินอเมริกันหมู คลาสสิคละตินอเมริกันไก่ ไส้สับปะรด ไส้ครีมข้าวโพด ไส้แฮมชีส และไส้ทูน่ามายองเนส”
โดยเรื่องของไส้นั้นถือเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของแบรนด์ EMPA Homebake เพราะนอกจากจะมีทั้งไส้คาวและหวานแล้ว ยังมีการปรับให้เข้ากับผู้บริโภคคนไทยด้วย
“เรามีไส้พายที่หลากหลาย ทั้งไส้สไตล์ละตินอเมริกันและไส้พายแบบหวาน ซึ่งโดยทั่วไปในแถบละติน เขาจะกินไส้คาวเป็นหลัก โดยจะใช้เป็นเนื้อวัว ซึ่งถือเป็นโปรดักต์ขึ้นชื่อของทางฝั่งอเมริกาใต้ แต่ในประเทศไทย เราได้ปรับมาใช้เป็นเนื้อหมูและเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่คนไทยนิยมกินอยู่แล้ว และมีไส้หวานด้วย เพื่อตอบสนองคนไทย”
นวดจนเข้าที่...แนะนำ “พายน้องใหม่” สู่ใจลูกค้า
แต่ใช่ว่าตลอดปีกว่าที่แบรนด์โลดแล่นมาจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง ยิ่งเฉพาะจะทำให้ลูกค้าเป้าหมายอย่างคนไทย โดยเฉพาะวัยทำงานเปิดใจลองชิมพายน้องใหม่ตัวนี้
“ความยากหนึ่งที่เราเจอคือเรื่องของกรรมวิธีในการทำ ด้วยความเป็นแป้งชั้นเดียว แล้วเราอยากใส่ไส้เยอะๆ มันก็จะทะลักออกมา ทำให้ดูไม่สวยงามตามแบบที่คนไทยชอบ แตกต่างจากพายสไตล์ละตินอเมริกันที่เขาจะไม่เน้นรูปลักษณ์สวยงามมากนัก แต่พอเป็นเมืองไทยหรือว่าประเทศในแถบเอเชีย เราจะต้องทำให้รูปลักษณ์ดูน่ารัก ดูสวยงาม และยังคงไส้แน่นโดยที่ไม่มีส่วนไหนล้นออกมา”
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายเรื่องของการอบ ที่ประเทศในแถบอเมริกาใต้จะใช้เตาถ่านในการอบ Empanada ซึ่งจะทำให้พายออกแนวเกรียมๆ และมีสีที่ไม่สม่ำเสมอกัน
“ดังนั้น เราจึงใช้เตาอบในการอบแทน เพื่อให้ได้สีสวยแบบสม่ำเสมอและเป็นสีเหลืองทอง เพื่อให้เหมาะกับความชอบของคนไทยหรือประเทศในแถบเอเชียมากกว่า นอกจากนี้ ตัว Empanada แบบละตินอเมริกันยังใช้มือในการจับจีบ ซึ่งทำให้ดูคล้ายกับกะหรี่ปั๊บ ทำให้ดูไม่น่าสนใจและไม่สร้างความโดดเด่น เราจึงทำการปรับรูปแบบใหม่ให้มีตัวขอบขนม โดยใช้แม่พิมพ์ ซึ่งจะมีชื่อรสชาติระบุไว้บนตัวขนมด้วยเลย จึงช่วยทำให้รูปลักษณ์ดูน่าสนใจมากขึ้น”
และด้วยความเป็นของใหม่ การจะทำให้คนลองเปิดใจชิมและทำความรู้จักกับพายชนิดนี้นั้น นันทกานต์ จึงใช้กลยุทธ์ “ชิมก่อน ถ้าชอบค่อยซื้อ” เข้ามาช่วยเบิกทาง
“เริ่มแรกเลยในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เราจะมีโปรเจกต์ให้คนเข้ามากด Like กด Share หรือ Follow ร้าน แลกกับการรับพายไปทดลองชิมฟรีที่บ้าน 1 ชิ้น โดยทางเราจะจัดส่งไปให้ พอมาระยะหลังที่เรามีการออกบูธ เราจะขายพายแบบเป็นชิ้นๆ ไม่ได้ขายแบบเป็นเซ็ต เพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองชิมก่อน ถ้าถูกใจก็ค่อยซื้อแบบเป็นกล่องได้ วิธีนี้ยังสอดรับกับเทรนด์ของ Solo Economy หรือเศรษฐกิจของคนที่อยู่คนเดียวหรือสังคมเดี่ยวอีกด้วย ดังนั้น เราจึงไม่บังคับให้ลูกค้าต้องซื้อแบบยกกล่องนั่นเอง”
คิดทุกขั้นตอน...พายของเรา = พายของคุณ
เมื่อลูกค้ากลุ่มแรกคือคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้เป็นน้องที่หอบหิ้วพายของพี่สาวไปอุ่นกินที่ออฟฟิศ จนหอมกรุ่นเตะจมูกเพื่อนร่วมงาน เป็นสัญญาณให้ นันทกานต์ รู้ว่ามาถูกทาง และพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอคิดถูกที่ยึดคำว่า “เราอยากให้ทุกคนได้กินพาย ที่เหมือนกับที่เราทำกินเองในครอบครัว” เป็นหัวใจในการทำธุรกิจ
“เราอยากทำสิ่งที่เราอยากกิน สิ่งที่เราต้องการ ในคุณภาพเดียวกันกับที่เราทำกินเองที่บ้านให้กับผู้บริโภค ดังนั้น เราจึงใช้วัตถุดิบแบบเดียวกัน ที่มีทั้งความสดใหม่และมีคุณภาพ เพราะเรามีมุมมองว่า เราอยากกินอะไร เราก็ต้องทำแบบนั้นให้กับผู้บริโภค เช่น เราอยากกินพายทุกวัน พายที่เราทำให้ลูกค้านั้น จึงเป็นแบบเฮลท์ตี้ ปลอดภัยต่อสุขภาพ เพราะใช้น้ำมันรำข้าว ไม่มีไขมันทรานส์ ไม่มีสารปรุงแต่งและวัตถุกันเสีย และใช้การอบแทนการทอด รวมถึงยังเลือกใช้เนื้อสัตว์ทั้งชิ้นนำมาบดสับเอง โดยไม่ใช้เนื้อสัตว์บดสำเร็จรูปหรือวัตถุดิบไส้สำเร็จรูป”
การทำแบรนด์ที่ขายเฉพาะพาย Empanada แบบฟิวชั่นนี้ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกของไทย จึงทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายในราคาที่สมเหตุสมผล
“เดิมทีแล้ว Empanada จะเป็นอาหารว่างอยู่ในร้านอาหารละตินและค่อนข้างมีราคาสูง อีกทั้งยังเป็นเพียงอาหารว่าง หรือ Appetizer เท่านั้น ไม่ได้ถูกชูเป็นอาหารจานหลัก ซึ่งในเมืองไทย ส่วนใหญ่จะออกเป็นแนวทอดด้วยซ้ำ เราจึงหยิบพายตัวนี้มาทำในลักษณะของ Street Food ให้คนได้กินพายที่มีรสชาติหากินไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองไทย โดยที่ราคาต้องไม่แพงเกินกว่าการซื้อข้าวหนึ่งจาน เราจึงตั้งราคาต่อชิ้นอยู่ที่ 39 บาทในไส้พื้นฐาน ส่วนไส้อื่นๆ ที่ใช้วัตถุดิบพิเศษ อาจจะตั้งราคาสูงขึ้น”
นอกจากการขายออนไลน์ในปัจจุบันแบบ Made to Order แล้ว สาวเจ้าของแบรนด์ผู้นี้ยังมองไปถึงการเปิดร้านสไตล์ Grab & Go เพื่อเพิ่มช่องทางในการขายและเข้าถึงผู้คนให้ได้มากขึ้นด้วย
“แม้ว่าตอนแรกเราจะไม่กล้าเปิด แต่พอได้เริ่มออกบูธและเห็นว่านอกจากลูกค้าในเมืองที่เป็นกลุ่มเป้าหมายแล้ว กลุ่มคนนอกเมืองและเขตปริมณฑลอย่างย่านพระราม 2 ที่เราเคยมองข้ามไป เพราะคิดว่าเขาคงไม่สนใจ ยังให้การตอบรับที่ดีด้วย โดยเขามีความสงสัยว่ามันคือขนมอะไรและเปิดใจลองกินดู จึงทำให้เราคิดว่าน่าจะสามารถเปิดเป็นหน้าร้านให้คนได้มาซื้อกลับไปกิน โดยเฉพาะคนที่เร่งรีบหรือไม่ได้กินอาหารมื้อหลักมา”
EMPA Homebake หวังว่า พายฟิวชั่นตัวนี้จะไม่เพียงช่วยให้อิ่มท้อง แต่ยังเป็นอาหารทางเลือกที่คนสามารถหยิบไปร่วมฉลองในงานเทศกาลต่างๆ นอกเหนือจากเบเกอรี่ พิซซ่า หรือ Fast Food ที่คุ้นเคยชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะในอนาคต หากมีการพ่วงแกงไทยเข้าไปเป็นไส้ของพาย เราคงได้เห็นถึงการผสมผสานวัฒนธรรมแบบข้ามโลก เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายจากคนไทยสู่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้เช่นกัน
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี