SME รับมืออย่างไร เมื่อธนาคารเริ่มเปิดรับ “สกุลเงินดิจิทัล”

TEXT : นเรศ เหล่าพรรณราย
 
 


 
Main Idea

ทำความรู้จัก “สกุลเงินดิจิทัล”
 
  • มีคุณสมบัติเป็นสิ่งกักเก็บมูลค่า (Store Of Value) เช่นเดียวกับ ทองคำ สามารถใช้แทนเงินได้
 
  • มีมูลค่าที่สามารถเพิ่มขึ้น รวมถึงลดลงได้เช่นกัน
 
  • สามารถสะสมสกุลเงินดิจิทัล เพื่อรอรับมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
 
  • เพิ่มโอกาสในการชำระเงินออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อขายระหว่างประเทศ
 
  • การจ่ายด้วยสกุลเงินดิจิทัลจะมีต้นทุนที่ถูกกว่า และมีความรวดเร็วในการโอน
 

 

     ข่าวใหญ่ในวงการการเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคงเป็นประเด็นที่ Paypal บริษัทรับชำระเงินออนไลน์รายใหญ่ของโลกได้ออกมาประกาศรับรองการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล อย่างเช่น บิทคอยน์ หลังมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่าได้พัฒนาเทคโนโลยีรองรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
              




     ไม่นานจากนั้น DBS ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ ก็ได้ออกมาประกาศเปิดตัวบริการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลกับสกุลเงินหลัก ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ดอลลาร์และฮ่องกงดอลลาร์ รวมถึง JPMorgan ธนาคารระดับโลกที่ออกมาเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล JPM เป็นของตัวเอง
              

     เชื่อได้ว่าธนาคารหรือสถาบันการเงินทั่วโลกจะมีการเปิดรับสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น แล้วผู้ประกอบการอย่างเราจะปรับตัวกับสิ่งนี้อย่างไร??
              




     ต้องยอมรับว่า “สกุลเงินดิจิทัล” กำลังเป็นกระแสหนึ่งของโลกยุคใหม่ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในโลกการเงินแบบดั้งเดิมเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรที่จะปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีใหม่นี้โดยใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติต่างๆ ที่สกุลเงินดิจิทัลมีอยู่ให้เกิดประโยชน์
              

     ทั้งนี้สกุลเงินดิจิทัลมีคุณสมบัติของการเป็นสิ่งกักเก็บมูลค่า (Store Of Value) เช่นเดียวกับ ทองคำ กล่าวคือเป็นสิ่งที่สามารถใช้แทนเงินได้ (แม้ว่าจะมีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ยอมรับสกุลเงินดิจิทัลให้มีสถานะเป็นเงินและชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย) โดยมีคุณสมบัติคือ มูลค่าที่สามารถเพิ่มขึ้น (รวมถึงลดลงได้เช่นกัน)
              




     หากผู้ประกอบการธุรกิจมีมุมมองว่า มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลอย่างเช่นบิทคอยน์จะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่สกุลเงินหลักของโลกอย่างดอลลาร์อ่อนค่าลง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยที่ต่ำอย่างมาก นี่คือโอกาสในการสะสมสกุลเงินดิจิทัลเพื่อรอมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น
              

     ปัจจุบันราคาบิทคอยน์เมื่อเทียบเป็นเงินบาทจะอยู่ที่ประมาณ 1 บิทคอยน์ เท่ากับ 400,000 บาท โดยประมาณ อนาคตเมื่อมูลค่าของบิทคอยน์เพิ่มสูงขึ้น ความมั่งคั่งของเราก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
              




     ทั้งนี้ปัญหาหลักของสกุลเงินดิจิทัลที่เคยเกิดขึ้นนั่นคือความผันผวนที่ค่อนข้างสูงได้ลดลงไปเป็นอย่างมากแล้ว ปัจจุบันนี้บิทคอยน์มีการเปลี่ยนแปลงของราคาไม่ต่างจากทองคำ รวมถึงผู้พัฒนาแพลตฟอร์มได้สร้างเทคโนโลยีในการที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงของราคาได้แล้ว ด้วยการล็อกมูลค่าไว้ทันทีเมื่อมีการซื้อขายแลกเปลี่ยน
              

     ขณะเดียวกันการเปิดรับสกุลเงินดิจิทัลยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการชำระเงินด้วยออนไลน์อีกด้วย โดยเฉพาะการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศจากเดิมที่ต้องมีการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่หากจ่ายด้วยสกุลเงินดิจิทัลจะมีต้นทุนที่ถูกกว่าแถมยังมีความรวดเร็วในการโอนมากขึ้นอีกด้วย
              



     แม้ว่าสัดส่วนการใช้สกุลเงินดิจิทัลในการทำธุรกรรมการเงินอาจจะยังไม่มากนักเทื่อเทียบกับสกุลเงินดั้งเดิม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกนี้ และเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจควรเริ่มต้นศึกษาและปรับตัวเข้ากับสิ่งนี้ไว้ตั้งแต่วันนี้
 
 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: FINANCE

EXIM BANK เปิดตัว “EXIM 2X” ปั้น GEN Y สู่เวทีการค้าโลก

EXIM BANK เดินหน้าผลักดันผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ GEN Y เจ้าของธุรกิจและทายาทรุ่นใหม่ สู่การเป็นนักรบเศรษฐกิจบนเวทีโลก ผ่านหลักสูตร “EXIM 2X” ที่มุ่งสร้างผู้ส่งออกไทยรายใหม่ปีละกว่า 100 บริษัท

ปิดตายจุดเสี่ยง 6 Trick ป้องกันทุจริตการเงินง่ายๆ ในธุรกิจ

เพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใคร…การรอบคอบ ป้องกันเอาไว้ก่อน คือ สิ่งดีที่สุด นอกจากจะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ยังเป็นการช่วยปิดความเสี่ยง ยิ่งปิดได้มากเท่าไหร่ ธุรกิจก็ปลอดภัย ดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นเท่านั้น

รู้จัก Latte Factor หัวขโมยเงินออม ที่ซ่อนอยู่ในรายจ่ายเล็กๆ  

ชวนมาทำความรู้จัก “Latte Factor” แนวคิดทางการเงินที่ชี้ว่า “ค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจ่ายไปทุกวันโดยไม่รู้ตัวนั้นสามารถสะสมกลายเป็นจำนวนเงินที่มากได้ในระยะยาว” ซึ่งถือเป็นตัวการที่ฆ่าความมั่งคั่งของเราได้แบบช้าๆ โดยที่ไม่ทันได้ระวังตัว