Text: Neung Cch.
การทำให้ธุรกิจโต 10 เท่าในเวลาไม่นาน อาจฟังดูเป็นเรื่องของพรสวรรค์ โชค หรือไม่ก็ต้องได้ที่ดินทำเลทองจากคุณปู่ แต่เอาเข้าจริง เจ้าของธุรกิจจำนวนมากที่อยากโตก็เลือกใช้วิธีขยายกิจการแบบ “ตามใจ” ไม่ใช่ “ตามงบ” ซึ่งสุดท้ายก็ล้มคว่ำ เพราะขยายก่อนเข้าใจสถานะการเงินของตัวเอง เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องดูดวงทำนายอนาคตก็พอจะเดาได้ ถ้าคุณอ่านงบการเงินเป็น
งบการเงิน = Radar สำหรับขยายธุรกิจ
งบการเงินนั้นสำคัญอย่างไรลองนึกภาพ เวลานักบินจะไต่ระดับขึ้นฟ้า เขาไม่ได้ดูแค่จิตใจหรือความมั่นใจตัวเอง แต่ดู “เรดาร์” และ “มาตรวัด” ความเร็ว ความสูง เชื้อเพลิง และแรงลม เพราะถ้าขึ้นเร็วไป ก็เสี่ยงตก ถ้าไปไกลเกินเชื้อเพลิงมีไม่พอ ก็ไม่ถึงเป้าหมาย การขยายธุรกิจก็เช่นกัน ถ้าไม่มีงบการเงินมานำทาง คุณอาจกำลังขับเครื่องบินโดยไม่เปิดเรดาร์ งบการเงินเหมือนเรดาร์ช่วยตอบคำถามสำคัญในการทำธุรกิจ:
- ธุรกิจของคุณพร้อมขยายหรือยัง?
- คุณมีทรัพยากรเพียงพอรับมือความเสี่ยงหรือไม่?
- การขยายจะนำไปสู่กำไรหรือขาดทุน?
3 คำถามสำคัญที่งบการเงินช่วยตอบก่อนขยายธุรกิจ
ปัญหาคือ เจ้าของธุรกิจจำนวนมากไม่รู้วิธี “อ่านเรดาร์” นี้ หรือมองว่างบการเงินเป็นเรื่องของนักบัญชีเท่านั้น ความจริงคือ การเข้าใจงบการเงินไม่ใช่แค่ทักษะเสริม แต่เป็นหัวใจของการตัดสินใจที่นำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน แต่ก่อนจะตัดสินใจขยายธุรกิจ คุณต้องตอบคำถาม 3 ข้อนี้ให้ได้จากงบการเงิน
1. ต้นทุนการขยายอยู่ตรงไหน และคุ้มกับกำไรที่คาดหวังหรือไม่?
งบกำไรขาดทุน (Profit & Loss) จะบอกว่ารายได้และกำไรสุทธิของคุณเป็นอย่างไร และต้นทุนส่วนไหนที่อาจ “บวม” เมื่อขยาย
ตัวอย่าง: ร้านกาแฟที่วางแผนเปิดสาขาใหม่ต้องคำนวณต้นทุนค่าเช่า, ค่าตกแต่ง, และค่าแรงพนักงานใหม่ เทียบกับกำไรที่คาดการณ์
2. ต้องใช้เวลากี่เดือนถึงจะถึงจุดคุ้มทุน?
งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) จะแสดงให้เห็นว่าเงินสดจากการดำเนินงานเพียงพอต่อการลงทุนในช่วงแรกหรือไม่
ตัวอย่าง: หากการขยายต้องใช้เงินลงทุน 5 ล้านบาท งบกระแสเงินสดจะช่วยประเมินว่าต้องใช้เวลากี่เดือนในการคืนทุน
3. หากขาดทุน 3 เดือนติด ธุรกิจยังอยู่รอดหรือไม่?
งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet) จะบอกถึงสภาพคล่องและหนี้สินระยะสั้น ซึ่งช่วยประเมินความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยง
ตัวอย่าง: หากอัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) ต่ำกว่า 1 อาจหมายถึงเงินสดไม่เพียงพอต่อการจ่ายหนี้ระยะสั้น
3 งบการเงินที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
1. งบกำไรขาดทุน (Profit & Loss Statement)
งบกำไรขาดทุน คือรายงานทางการเงินที่บอกว่า “กิจการได้กำไรหรือขาดทุน” ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น รายไตรมาสหรือรายปี ในงบนี้จะมีข้อมูลหลัก ๆ คือ: รายได้ทั้งหมดที่กิจการได้รับ ค่าใช้จ่ายที่กิจการใช้จ่ายไป ผลต่างระหว่างรายได้กับค่าใช้จ่าย ซึ่งก็คือ “กำไร” หรือ “ขาดทุน”
งบกำไรขาดทุนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจเห็นภาพรวมว่า ธุรกิจกำลังไปได้ดีแค่ไหนกำไรมาจากช่องทางไหน ค่าใช้จ่ายส่วนใดที่อาจลดได้ ควรปรับแผนหรือกลยุทธ์อย่างไรให้ธุรกิจแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการวางแผนอนาคต เช่น การคาดการณ์ยอดขายหรือกำไรในปีถัดไป
สูตรการคำนวณงบกำไรขาดทุน
รายได้รวม – ค่าใช้จ่ายรวม = กำไร (หรือขาดทุน)
รายละเอียดแต่ละส่วน:
รายได้รวม (Total Revenue): เงินที่กิจการได้รับจากการขายสินค้า หรือบริการทั้งหมด
ค่าใช้จ่ายรวม (Total Expenses): เงินที่กิจการจ่ายไปในการดำเนินงาน เช่น ค่าเช่า ค่าการตลาด ค่าโฆษณา ฯลฯ
กำไร/ขาดทุน (Profit or Loss): ถ้ารายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย = กำไร
ถ้ารายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย = ขาดทุน
2. งบแสดงฐานะการเงิน (งบดุล / Balance Sheet)
งบแสดงฐานะการเงิน (หรือที่หลายคนเรียกกันว่า “งบดุล” (Balance Sheet) คืออะไร? ถ้างบกำไรขาดทุนคือ สิ่งที่บอกว่า “บริษัททำได้ดีแค่ไหนในช่วงเวลา”…งบดุลก็บอกว่า “วันนี้บริษัทแข็งแรงแค่ไหน”
งบดุลคือ งบการเงินที่แสดงสถานะทางการเงินของกิจการ “ณ วันใดวันหนึ่ง” เช่น วันสิ้นปี หรือวันสิ้นไตรมาส ต่างจากงบกำไรขาดทุนที่แสดงผลประกอบการ “ในช่วงเวลา”งบดุลแสดง “จุดสถานะ” ของธุรกิจ ณ เวลาหนึ่งเท่านั้น
งบดุลช่วยบอกอะไรเรา?
งบดุลเปรียบเสมือน “ภาพถ่ายการเงิน” ของธุรกิจ ณ วันนั้นบอกว่า...
- ธุรกิจมี อะไรอยู่บ้าง (สินทรัพย์)
- เป็นของใคร?
- เป็นของเจ้าหนี้ (หนี้สิน) เท่าไหร่
- เป็นของเจ้าของกิจการ (ส่วนของทุน) เท่าไหร่
โครงสร้างของงบดุลประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก:
สินทรัพย์ (Assets) สิ่งที่ธุรกิจ “มี”
หนี้สิน (Liabilities) สิ่งที่ธุรกิจ “เป็นหนี้”
ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) สิ่งที่ “เป็นของเจ้าของ”
สมการบัญชี:
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
ตัวเลขทั้งสองฝั่งจะต้อง “ดุลกันเสมอ” จึงเรียกว่า “งบดุล” (Balance Sheet)
ตัวอย่าง
ต้องการเปิดร้านตัดผม ใช้เงินลงทุน 500,000 บาท
มีเงินส่วนตัว 300,000 บาท (ทุน)
กู้ธนาคารอีก 200,000 บาท (หนี้สิน)
นำไปซื้ออุปกรณ์และตกแต่งร้าน (สินทรัพย์)
งบดุลจะเป็นแบบนี้:
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน
500,000 = 200,000 + 300,000
3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)
งบกระแสเงินสด คือ รายงานที่บอกให้รู้ว่า เงินสด เข้า-ออกจากกิจการเท่าไหร่ มาจากไหน ใช้ไปกับอะไร และเหลือเท่าไหร่ โดยจะรวมถึงทั้ง เงินสด และ รายการที่เทียบเท่าเงินสด (เช่น เงินฝากสั้นๆ ที่ถอนมาใช้ได้ทันที)
พูดง่ายๆ ก็คือ งบกระแสเงินสดช่วยตอบคำถามว่า: “ธุรกิจเรามีเงินหมุนพอหรือเปล่า?”
ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องดู “งบกระแสเงินสด”?
เพราะกำไรอย่างเดียวไม่พอ!
ธุรกิจอาจดูดีบนกระดาษ แต่ถ้าไม่มีเงินสดพอ ธุรกิจก็สะดุดได้
งบกระแสเงินสดช่วยให้คุณรู้ว่า...
- มีเงินสดพอจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือไม่
- ธุรกิจสร้างเงินสดได้จากการดำเนินงานจริง หรือแค่กู้มา
- ใช้เงินลงทุนกับอะไร และจัดหาเงินจากแหล่งไหนบ้าง
- มีความเสี่ยงเรื่องสภาพคล่องหรือเปล่า
งบกระแสเงินสดแบ่งเป็น 3 กิจกรรม
1. กิจกรรมดำเนินงาน (Operating Activities – CFO)
- เงินเข้า-ออกจากกิจกรรมหลักของธุรกิจ เช่น
- ขายของ ได้เงิน = เงินเข้า
- จ่ายค่าของ ค่าจ้าง ค่าภาษี = เงินออก
2. กิจกรรมลงทุน (Investing Activities – CFI)
- เงินที่ใช้ไปกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ เช่น
- ซื้อเครื่องจักร = เงินออก
- ขายอุปกรณ์เก่า = เงินเข้า
3. กิจกรรมจัดหาเงิน (Financing Activities – CFF)
- เงินจากการกู้หรือคืนทุน เช่น
- กู้เงิน = เงินเข้า
- จ่ายปันผล = เงินออก
ตัวอย่างงบกระแสเงินสดแบบง่ายๆ
บริษัท ABC จำกัด ปี 2567
1. กิจกรรมดำเนินงาน
ขายของได้เงิน: 1,200,000 บาท
จ่ายค่าวัตถุดิบและพนักงาน: (1,100,000) บาท
= เงินสดจากการดำเนินงาน: 100,000 บาท
2. กิจกรรมลงทุน
ซื้อเครื่องจักร: (50,000) บาท
ขายอุปกรณ์: +10,000 บาท
= เงินสดจากการลงทุน: (40,000) บาท
3. กิจกรรมจัดหาเงิน
กู้เงิน: +50,000 บาท
จ่ายปันผล: (20,000) บาท
= เงินสดจากการจัดหาเงิน: 30,000 บาท
รวมสุทธิเงินสดเพิ่มขึ้น: +90,000 บาท
สรุปงบกระแสเงินสดที่ดีควรเป็นแบบไหน?
1. กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน “เป็นบวก” แสดงว่าธุรกิจหาเงินได้จากการขายจริง ไม่ใช่แค่กู้มา
2. กระแสเงินสดสุทธิ “เป็นบวก” มีเงินเหลือ ไม่ติดลบ ชำระหนี้ได้ ไม่สะดุด
3. กิจกรรมลงทุน “ตรงกับแผน” ใช้เงินไปกับสิ่งที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต เช่น ขยายสาขา ซื้อเครื่องจักร
4. กิจกรรมจัดหาเงิน “มีแผน” กู้เท่าที่จำเป็น มีเหตุผล มีการวางแผนการเงินไว้ล่วงหน้า
ฉะนั้นงบกระแสเงินสด เป็นเหมือนภาพรวมการเคลื่อนไหวของ “เงินสด” ทั้งหมดในธุรกิจ มันคือสิ่งที่บอกคุณได้ว่า “ธุรกิจรอดหรือร่วง” เพราะไม่มีใครอยู่ได้ด้วยตัวเลขกำไรอย่างเดียว!
คนที่ดูดวง อาจต้องรอฤกษดี แต่คนที่ดูงบเป็นเจอ "โอกาสดี" ก่อนใครแน่นอน
https://krungthai.com/th/financial-partner/learn-financial/1856
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี