คำถามที่ต้องการคำตอบ







เรื่อง : อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
           กรรมการบริหาร สลิงชอท กรุ๊ป



    เมื่อวันก่อนมีโอกาสไปเสวนาบนเวทีงานสัมมนา SME แห่งหนึ่ง พิธีกรตั้งประเด็นน่าสนใจว่า “คำถามอะไรที่หัวหน้าควรตอบ โดยไม่ต้องรอให้พนักงานถาม” ผมคิดแล้วคล้อยตาม พนักงานทุกคนมีปัญหาหลายอย่างอยู่ในหัว แต่ชีวิตจริงมีเพียงบางคนเท่านั้นที่กล้าถามแค่บางคำถาม เพราะส่วนใหญ่ กลัวโง่ กลัวซวย กลัวผิด กลัวโดนแซว กลัวถูกหาว่าอยากเด่น ฯลฯ เลยไม่ถาม ทั้งๆ ที่อยากรู้ ผมลองสมมุติตัวเองเป็นพนักงานดู พบว่ามีหลายคำถามที่อยากได้คำตอบ… แต่อาจไม่กล้าถาม

• องค์กรคาดหวังอะไรในตัวฉัน

    หัวหน้าควรบอกความคาดหวังที่องค์กรต้องการจากพนักงานให้ชัดเจนตั้งแต่วันแรกๆ ที่พบกัน โดยบอกทั้งเป้าหมายในการทำงานและพฤติกรรมการวางตัว เช่น คาดหวังให้ทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนดและมาทำงานตรงเวลา เป็นต้น การระบุความคาดหวังให้เข้าใจตรงกันตั้งแต่ต้น ถือเป็นจุดเริ่มของความสำเร็จในการทำงาน หลักการนี้ใช้ได้ตั้งแต่คนงาน แม่บ้าน คนสวน คนรถ ไปจนถึงพนักงานหรือแม้แต่ผู้บริหาร

    จุดตายที่น่าเป็นห่วงคือ การคิดว่า “โตๆ กันแล้ว ไม่ต้องให้บอก!”

• อำนาจหน้าที่ของฉันมีเท่าไร

    หัวหน้าต้องอธิบายหน้าที่ความรับผิดชอบและอำนาจในการตัดสินใจให้ชัดเจน เพื่อให้การทำงานไม่กระจุกตัวอยู่ที่หัวหน้าเพียงคนเดียว บ่อยครั้งที่การมอบหมายงานระบุเพียงหน้าที่ที่ต้องทำ แต่ไม่ได้บอกถึงอำนาจในการตัดสินใจ ทำให้งานย้อนกลับมาหาหัวหน้าอยู่ร่ำไป อำนาจในการตัดสินใจแบ่งได้หลายระดับ เรียงจากน้อยไปหามาก ได้แก่ ทำเท่าที่บอก ทำเท่าที่ไม่ได้ห้าม ตัดสินใจเองแต่มาบอกก่อนลงมือทุกครั้ง ตัดสินใจเอง ลงมือทำ แล้วจึงมารายงานให้ทราบทุกครั้ง ตัดสินใจเอง ลงมือทำ แล้วจึงมารายงานเฉพาะเมื่อมีปัญหา ตัดสินใจเอง ลงมือทำและรับผิดชอบผลของการกระทำนั้น (โดยไม่ต้องรายงาน) เป็นต้น

    เลือกให้เหมาะสมกับงานและความสามารถของคน

• ผลงานที่ผ่านมาของฉันเป็นอย่างไร

    การได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) เกี่ยวกับผลงานของตนเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้พนักงานมีพัฒนาการที่เร็วขึ้น ดังนั้น หัวหน้าจึงมีหน้าที่ในการทบทวนผลการทำงานของลูกน้องเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง แนวทางการพูดคุยควรเริ่มต้นจากการให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีโอกาสได้ประเมินผลการทำงานของตนเอง ก่อนที่หัวหน้าจะให้ความเห็นจากมุมมองของตน

    มองหาสิ่งที่ทำได้ดีและประเด็นที่ควรปรับปรุง ให้พอเหมาะและสมดุลกัน

• ฉันควรทำอย่างไรจึงจะมีผลงานในระดับที่ดีขึ้น

    คำถามนี้ต่อยอดจากข้อก่อนหน้า เมื่อมีการประเมินผลแล้ว หัวหน้าจำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมให้ชัดเจนด้วยว่าจากนี้ไปพนักงานควรปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะได้คะแนนผลงานดีขึ้นกว่าเดิม การบอกแนวทางในการพัฒนาให้ชัดเจน เป็นการช่วยปรับทัศนคติและมุมมองที่พนักงานมีต่อการประเมินผลให้ถูกต้อง และเป็นบวกมากขึ้น

    หัวหน้าควรใช้การประเมินผลเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของลูกทีม มากกว่าเป็นการ “ตราหน้า” ว่า ใครทำงานดีหรือไม่ดี

• เงินเดือนที่ได้ขึ้นและโบนัสที่ได้รับ คำนวณมาอย่างไร

    แม้เรื่องนี้จะละเอียดอ่อนและอธิบายให้เข้าใจและพอใจได้ยาก แต่หัวหน้าก็ควรมีข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางคำนวณการขึ้นค่าจ้างประจำปีและการจ่ายโบนัสไว้บ้าง เพื่อจะได้สื่อสารให้พนักงานรับทราบ หัวใจสำคัญของการพูดคุยเรื่องนี้คืออย่าเปรียบเทียบกับผู้อื่น!

    หากพนักงานอ้างว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นได้มากกว่า ให้ตอบนุ่มๆ แต่หนักแน่นว่า “วันนี้พี่จะคุยเฉพาะเรื่องของเธอ ยังไม่คุยเรื่องคนอื่น”

• ฉันมีโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาอย่างไรบ้าง

    การได้รับการพัฒนาเป็นรางวัลอย่างหนึ่งของชีวิตคนทำงาน แต่ละปีหัวหน้ากับลูกน้องควรมีโอกาสได้นั่งคุยกันถึงแผนการพัฒนาในช่วงเวลา 6-12 เดือนข้างหน้า โดยกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เป็นรูปธรรมและวัดผลได้ หัวใจสำคัญคือ อย่ายึดติดกับการอบรมเพียงอย่างเดียว แต่ให้ใช้ส่วนผสมของสูตรสำเร็จในการพัฒนาคน 10-20-70 เป็นแนวทาง โดย 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน (การอบรมสัมมนา) 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นการเรียนรู้ผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองกับผู้อื่น (การโค้ช การสอนผู้อื่น) ส่วน 70 เปอร์เซ็นต์ สุดท้ายเป็นการเรียนรู้ด้วยการฝึกฝนและลงมือทำ (การหมุนเวียนงาน การรักษาการแทนหัวหน้า)

• ฉันควรต้องทำอย่างไรจึงได้เลื่อนตำแหน่ง

    ความก้าวหน้าเป็นน้ำมันหล่อลื่นสำหรับชีวิตคนทำงานให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างไม่สะดุด แต่ในความเป็นจริง องค์กรทุกแห่งต่างมีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนตำแหน่ง จึงไม่สามารถให้พนักงานทุกคนปรับระดับโดยไม่มีจุดสิ้นสุดได้ แต่การมีโอกาสนั่งคุยกันเรื่องความก้าวหน้าบ้างเป็นระยะๆ แม้จะยังไม่สามารถปรับเลื่อนได้ทันที ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจดูแลที่ผู้บังคับบัญชามีต่อพนักงานชั้นผู้น้อย

    บางครั้งการเลื่อนตำแหน่งในแนวตั้ง (การปรับระดับให้สูงขึ้น เช่น จากพนักงานไปเป็นผู้จัดการ) อาจทำได้ยากเนื่องจากข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้น การขยายงานในแนวนอน (การให้รับผิดชอบงานแนวกว้างมากขึ้น) ก็เป็นหนทางที่จะช่วยผลักดันคุณค่าของงานให้เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะเลื่อนตำแหน่งไม่ได้ในทันทีก็ตาม

• ฉันควรทำอย่างไรจึงจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น

    หัวหน้าต้องอธิบายให้ลูกน้องเข้าใจว่าเงินเดือนคือค่าตอบแทนในการทำงาน ดังนั้น เงินจะแปรผันโดยตรงตามความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นและงานที่ยากขึ้น พนักงานมีหน้าที่ศึกษาเรียนรู้และฝึกปรือฝีมือให้ก้าวหน้าพร้อมรับกับงานท้าทายใหม่ๆ ที่จะมีเข้ามา ในขณะที่หัวหน้ามีหน้าที่มอบหมายงานที่ท้าทายและมีโอกาสได้แสดงฝีมือ หากต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตน การได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก

    ในชีวิตของการเป็นลูกจ้าง…จำไว้ว่า “ผลงานมี เงินก็มา!”

    คำถามต่างๆ เหล่านี้ วนเวียนอยู่ในใจพนักงานหลายคน หัวหน้าที่ฉลาด ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า หาจังหวะที่จะสื่อสารและอธิบาย โดยไม่ต้องรอให้ถาม

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อความสำเร็จของธุรกิจเอสเอ็มอี (SME)


RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย