บริหารคนแบบไหน ได้ทั้งใจได้ทั้งงาน

Text : กองบรรณาธิการ
 
 
     เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา Google ได้เริ่มโครงการ Aristotle ซึ่งมองหาปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพ โดยหลังจากผ่านการทดสอบจากหลายๆ กลุ่ม ก็พบว่าทีมที่มีพนักงานหลากหลายรูปแบบ มีวิธีคิดและแนวทางการแก้ปัญหาที่ต่างกัน จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่คนที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการให้พนักงานทุกคนที่มาจากแต่ละสถานที่ มีความรู้และประสบการณ์แตกต่างกัน สามารถทำงานร่วมกันและกลายเป็นทีมเดียวกันให้ได้


     
     
     แต่พนักงานส่วนใหญ่มักให้คะแนนหัวหน้าตัวเองที่ประมาณ 70 คะแนนเต็ม 100 ขณะที่บางคนให้ต่ำกว่าครึ่ง รวมถึงพนักงานกว่าร้อยละ 65 ยังมีความรู้สึกว่าไม่สามารถเอ่ยปากตั้งคำถามกับผู้ที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำได้ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำควรปรับปรุงและพัฒนาการบริหารจัดการของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ เพื่อดึงความสามารถของพนักงานออกมาใช้ให้เต็มที่และกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งให้ได้ และนี่คือแนวทางในการพัฒนาการบริหารจัดการทีม

 
1. ถามให้มาก เพื่อให้เข้าใจกัน 

     การจะทำความเข้าใจใครซักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องพยายามคุย สอบถาม เพื่อดูแนวคิดและวิธีการแก้ปัญหาเพื่อปรับจูนให้มีทัศนคติที่ใกล้เคียงกันทั้งหมดให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เพราะไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในวันสองวัน 

 
     อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การที่พนักงานมีความคิดแบบของตัวเอง แล้วไม่ได้รับการยอมรับจากหัวหน้าหรือผู้นำซึ่งมีแนวความคิดต่างกันมากๆ ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบและต่อต้านได้ เพราะฉะนั้นการพูดคุย จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายค่อยๆ เข้าใจถึงเหตุและผลได้มากขึ้น บางครั้งพนักงานทำผิดพลาดก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ หากลองสอบถามดูอาจรู้ถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ซ่อนอยู่ได้ด้วย ระหว่างการรับฟัง หัวหน้าอาจมีข้อเสนอแนะดีๆ ให้พนักงานสามารถรับมือสถานการณ์ที่ไม่ดีในครั้งหน้าได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกต่างหาก


2. พยายามหลีกเลี่ยงการตำหนิ

     ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะผิดพลาดเรื่องใดก็ล้วนกลายเป็นค่าใช้จ่ายหรือทำให้เสียเวลาได้ เมื่อหัวหน้าพบว่าลูกน้องทำผิดพลาด ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ อย่าให้หัวร้อนจนนำไปสู่การตั้งคำถามสุดฮิตอย่าง “มันเป็นความผิดของใคร” หรือ “ทำไมทำให้ถูกต้องไม่ได้ซักที” แต่ให้พยายามจำเอาไว้ว่า เมื่อเกิดเหตุผิดพลาด ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีอยู่แล้ว ดังนั้น พยายามหาทางแก้ไขปัญหาดีกว่า

 
     นอกจากนั้นการตำหนิหรือกล่าวโทษพนักงานบ่อยๆ ยังทำให้ความสามารถโดยรวมของการทำงานเป็นทีมลดน้อยลงด้วย เพราะเมื่อพนักงานถูกตำหนิในสิ่งที่คิดว่าตัวเองทำไปอย่างถูกต้อง ย่อมเสียกำลังใจและแรงจูงใจในการทำงาน และถ้าพนักงานในทีมทำงานผิดพลาดซ้ำๆ บางครั้งปัญหาอาจไม่ได้เกิดจากตัวพนักงานเองก็ได้ อาจเกิดจากปัจจัยภายนอก อาจเกิดจากการสั่งงานของหัวหน้า หรืออาจเกิดจากอะไรก็ได้ซึ่งถ้าไม่คุยกัน ก็คงไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน

 
3. แสดงให้พนักงานเห็นว่าพวกเขามีคุณค่ากับเราจริงๆ

     เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับการทำงาน แต่เชื่อเถอะว่า พนักงานนั้นสำคัญกว่ามาก หัวหน้าหรือผู้นำบางคนมักชอบอ้างว่าไม่มีเวลา เมื่อไม่มีเวลาจะทำงาน แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำความเข้าใจพนักงานได้ละ จริงไหม ซึ่งจากรายงานของเว็บไซต์ Office Vibes ที่รวบรวมการมีส่วนร่วมของพนักงาน ระบุว่า

     - 31 % ของพนักงานในผลสำรวจ ต้องการให้หัวหน้าหรือผู้นำสื่อสารกับพนักงานมากขึ้น
     
     - 32 % ของพนักงานในผลสำรวจ ต้องรอนานเกิน 3 เดือน ถึงจะได้รับ Feedback เรื่องผลการทำงานกลับมาจากหัวหน้า  

     - 63 % ของพนักงานในผลสำรวจ ไม่ได้รับคำชื่นชมในการทำงาน

     ดังนั้น พยายามนั่งลงคุยกับพนักงานบ้าง หรือโทรสอบถามสารทุกข์สุกดิบ เพื่อสอบถามว่าเขาเป็นอย่างไร ต้องการพัฒนาอะไรในองค์กร หรือพัฒนาตัวเองในสายงานอย่างไรบ้าง เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความใส่ใจของเรา

 
     สิ่งสำคัญคือ เราต้องใส่ใจและจับเข่าคุยกับพนักงานทุกคนในทีมให้ได้ เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าได้รับความสำคัญเท่าๆ กัน ซึ่งทั้งหมดนี้คือเงื่อนไขสำคัญในการทำให้การทำงานเป็นทีม มีประสิทธิภาพสูงสุด 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี
 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย