ภาษีความเค็ม ผลดีต่อสุขภาพคนไทย ส่งผลอย่างไรต่อผู้ประกอบการ

Text: รุจรดา วัฒนาโกศัย

 

     แม้ว่าเทรนด์อาหารสุขภาพกำลังมาแรงในทั่วโลก แต่เรากลับพบว่าคนไทยกินอาหารเค็มกันมากขึ้น ล่าสุดในช่วงปลายปี 2564 เราก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวจากภาครัฐที่เตรียมเก็บภาษีความเค็มจากกลุ่มอาหารโซเดียมสูงเพื่อให้คนไทยลดการบริโภคอาหารรสเค็มลง แต่ประเด็นนี้จะส่งผลต่อฝั่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารอย่างไรบ้าง ไปดูกัน

คนไทยบริโภคเกลือเฉลี่ยวันละ 9.1 กรัม ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 5 กรัมต่อวัน เกือบ 2 เท่า

ภาษีความเค็มกลไกเดียวกับภาษีน้ำตาล

      ก่อนหน้าที่จะพูดถึงเรื่องการเก็บภาษีความเค็มลดโซเดียม ประเทศไทยมีการเก็บภาษีเครื่องดื่มที่มีความหวาน หรือที่เรียกกันว่า “ภาษีความหวาน” มีหลักการคือ หวานมากเก็บภาษีมาก หวานน้อยเก็บภาษีน้อยบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2560 โดยให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัว 2 ปีเพื่อให้ผู้ประกอบการลดปริมาณน้ำตาลในสินค้าตนเอง และหลังจากนั้นจะเก็บภาษีความหวานเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี

ซึ่งอัตราภาษีความหวานที่ใช้ในวันที่ 1ตุลาคม 2564 -  30 กันยายน 2565 คือ

  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลไม่เกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ได้รับยกเว้นเก็บภาษี
  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 6-8 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีที่ 0.10 บาทต่อลิตร
  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 8-10 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีที่ 0.30 บาทต่อลิตร
  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 10-14 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีที่ 1 บาทต่อลิตร
  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล 14-18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษีที่ 3 บาทต่อลิตร
  • เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกิน 18 กรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร จะเสียภาษี 5 บาทต่อลิตร

 

    เมื่อมีการเก็บภาษีความเค็มก็จะยึดหลัก เค็มมากเสียภาษีมาก และเค็มน้อยเสียภาษีน้อย และหากโซเดียมต่ำกว่าเกณฑ์ก็จะไม่เสียภาษีเลย

กระทบ 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร

     ภาษีความเค็มจะจัดเก็บกับสินค้าที่มีการบรรจุหีบห่อและระบุปริมาณโซเดียมที่ชัดเจน  5 กลุ่มสินค้า แต่ไม่รวมอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เพราะจะไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ คือ

  • กลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
  • อาหารแช่แข็ง
  • อาหารแช่เย็น
  • ขนมขบเคี้ยว
  • ซอสปรุงรส

 

     ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินว่ากลุ่มสินค้าที่อาจเข้าข่ายมีปริมาณโซเดียมสูง (วัดจากปริมาณโซเดียมต่อหนึ่งบรรจุภัณฑ์จากการสำรวจสุ่มตัวอย่างสินค้าในตลาด) น่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 88,000 ล้านบาทในปี 2565 หรือคิดเป็น 18 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตลาดอาหารสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด

     ซึ่งที่ผ่านมามีการรณรงค์ลดการบริโภคเกลือแต่ก็ได้ผลน้อย ขณะที่การติดฉลากผลิตภัณฑ์บอกปริมาณโซเดียม ซึ่งจะแสดงเป็นปริมาณต่อหน่วยบรรจุภัณฑ์/ต่อหน่วยการบริโภค และแสดงสัดส่วนร้อยละของปริมาณสูงสุดที่บริโภคได้ต่อวัน บังคับใช้กับอาหารและเครื่องดื่ม 13 กลุ่ม อาทิ อาหารขบเคี้ยว อาหารกึ่งสำเร็จรูป อาหารพร้อมทานแช่แข็ง/แช่เย็น ก็ลดการบริโภคได้เพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ถ้ามีการบังคับลดเกลือในอุตสาหกรรมอาหารจะสามารถลดการบริโภคเกลือได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

     ณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต กล่าวว่า การพิจารณาภาษีความเค็มจะต้องดูความพร้อมในแง่มาตรการภาษีกับอุตสาหกรรม โดยจะต้องรอให้เศรษฐกิจดีขึ้นด้วย คาดว่าจะบังคับใช้ได้เมื่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของเศรษฐกิจขยายตัวอยู่ที่มูลค่า 16 ล้านล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเมื่อพร้อมก็จะมีการประกาศล่วงหน้าเพื่อให้เวลาภาคอุตสาหกรรมปรับตัว 6-12 เดือน เนื่องจากภาษีความเค็มจะกระทบประชาชนในวงกว้าง และเพื่อให้เวลาผู้ประกอบการได้มีการปรับตัว และผลิตสินค้าสูตรใหม่ออกมา

     นี่เป็นความท้าทายของผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารทั้ง 5 กลุ่มนี้เป็นอย่างมาก ท่ามกลางสถานการณ์ต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น ทั้งต้นทุนด้านพลังงาน ราคาน้ำมันปาล์ม และข้อจำกัดด้านการขนส่ง ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อที่ต้องใช้เวลาฟื้นตัวและค่าครองชีพที่เร่งตัวขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ

กรมสรรพสามิตวางเป้าหมายให้การบริโภคโซเดียมของคนไทยในแต่ละวันให้น้อยกว่า 20% ต่อคนต่อวัน หรือเหลือ 2,800 มิลลิกรัมต่อคนต่อวัน

ลดเค็มทั่วโลก

     การตั้งเป้าลดปริมาณโซเดียมในอาหารไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นวาระระดับโลก หลายประเทศได้วางเป้าหมายการลดเกลือในอาหารแปรรูปทั่วไป ขณะที่องค์การอนามัยโลกก็ได้เปิดตัวมาตรฐานการใช้โซเดียมระดับโลก หรือ WHO’s New Global Sodium Reduction Benchmarks ที่จะช่วยให้ประเทศต่างๆ ลดปริมาณโซเดียม โดยตั้งเป้าให้ลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2568

ขณะที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปตกลงที่จะสร้างกรอบการทำงานร่วมงานในเรื่องนี้

  • 10 ประเทศในยุโรปมีการกำหนดระดับเกลือสูงสุดในอาหาร โดยเฉพาะขนมปัง
  • 25 ประเทศในยุโรปสมัครใจติดฉลากบอกปริมาณเกลือในอาหารและปรับปรุงสูตร

 

     ฮังการีได้ใช้นโยบายภาษีที่เรียกว่าภาษีผลิตภัณฑ์สาธารณสุข (PHPT) สำหรับอาหารบรรจุหีบห่อและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและเกลือสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม เครื่องปรุงรส และแยมผลไม้ จุดมุ่งหมายของการแนะนำภาษีคือการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของประชาชนฟินแลนด์บังคับให้ติดฉลากในผลิตภัณฑ์ที่มีเกลือสูง

     ในฟินแลนด์ดำเนินกิจกรรมมากมายเพื่อลดเกลือ เช่น บังคับให้มีป้ายเตือนหากผลิตภัณฑ์มีน้ำตาลหรือเกลือเกินเกณฑ์ที่กำหนด เข่น ติดป้าย “ปริมาณเกลือสูง” วิธีนี้มีประสิทธิภาพมากทำให้ปริมาณโซเดียมโดยเฉลี่ยในผลิตภัณฑ์อาหารลดลง 20-25 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว และมีอีกหลายประเทศในละตินอเมริกา เช่น ชิลี เม็กซิโก เปรู อุรุกกวัย และบราซิล ใช้ป้ายเตือนสีดำด้านหน้ากล่องที่ระบุว่า ผลิตภัณฑ์มีไขมัน น้ำตาล หรือ เกลือสูง

     เรื่องนี้ไทยจึงไม่ได้ดำเนินการอย่างโดดเดี่ยว ผู้ประกอบการทั่วโลกต่างได้รับแรงกัดดันในการปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น ทั้งที่เป็นเรื่องยากเพราะเกลือมีบทบาทสำคัญต่อการเก็บรักษาและที่สำคัญคือมีรสชาติที่ถูกปากผู้บริโภค ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องลงทุนเพื่อพัฒนาวิธีการเก็บรักษาแบบใหม่ๆ หรือพัฒนาสารทดแทนเกลือขึ้นมาเพื่อคงรสชาติโดยไม่ทำร้ายร่างกายคนกินนั่นเอง

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MANAGEMENT

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร

สูตรลับจัดการเวลาฉบับ Pickle Jar Theory  

จะทำอย่างไรให้สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ปล่อยให้สิ่งเล็กๆ มาบดบังสิ่งใหญ่ที่เป็นหัวใจของธุรกิจ? เราเลยจะพาไปรู้จัก Pickle Jar Theory แนวคิดการให้ความสำคัญกับงานหลักที่มีผลต่อเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยังจัดพื้นที่ให้กับงานรองที่จำเป็น แต่ไม่เร่งด่วนด้วย