เจอปัญหา...ต้องแก้ให้เป็นระบบ

 
 
 
เรื่อง : คัมภีร์เงิน 
 
ทำธุรกิจไม่เจอปัญหาคงเป็นไปไม่ได้ แต่วิธีข้ามกำแพงอย่างไรให้ปลอดภัยต่อธุรกิจที่สุด คงต้องมีเครื่องมือและกลยุทธ์ที่จะนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยเรื่องของการแก้ปัญหานั้น มีโมเดลการแก้ปัญหา Simplex โดย Min Basadur อยู่ ซึ่งประกอบไปด้วย 8 ขั้นตอน เชื่อว่าคงจะช่วยให้ SME ทุกคนนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี
 
ขั้นตอนที่ 1 หาปัญหา
 
ส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะต้องมองหาปัญหาอย่างจริงจัง ถึงแม้งานบางอย่างอาจดูดำเนินไปอย่างปกติ การควบคุมสถานการณ์ปัญหาให้ได้เร็วจะช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาฉุกเฉิน ทำให้คุณยับยั้งประเด็นต่างๆ ก่อนที่จะบานปลายได้ 
 
ขั้นตอนที่ 2 หาความจริง 
 
เมื่อได้สิ่งที่คาดว่าจะเป็นปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับปัญหาได้แก่ อะไรเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหา ใครเกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ บ้าง มีการใช้ทางออกบ้างหรือไม่ อย่างไร  คนอื่นมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวอย่างไร  หากคุณรีบหาทางออกเพื่อที่จะแก้ปัญหาให้ได้เร็ว คุณกำลังเสี่ยงกับการใช้ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และมุมมองที่ไม่กว้างเท่าที่ควร ดังนั้น คุณควรแน่ใจว่าคุณได้ค้นคว้าหาความจริงอย่างละเอียดลออแล้ว 
 
ขั้นตอนที่ 3 กำหนดนิยามปัญหา 
 
ถ้าคุณเข้าใจปัญหา กำหนดนิยามของปัญหาชัดเจน การเขียนความหมายของปัญหาอย่างชัดเจนก็เพื่อให้คุณปักเขตแดนของปัญหาได้เฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ดีอย่างหนึ่งที่จะช่วยคุณในขั้นตอนนี้ก็คือ CATWOE เป็นการช่วยวิเคราะห์สิ่งที่คาดว่าจะเป็นปัญหาโดยมองจาก 6 มุมได้แก่
 
       1) Customers มุมมองของลูกค้า 2) Actors มุมมองของคนในองค์กร 3) Transformation มุมมองของวิธีการหรือขั้นตอนการทำงาน 4) World มุมมองจากระดับบริหารด้านบน 5) Owner มุมมองของเจ้าของกิจการ และ 6) Environment มุมมองกว้างๆ ของสภาพแวดล้อมในการทำงาน
 
ขั้นตอนที่ 4  หาทางแก้ 
 
เมื่อมีคำนิยามปัญหาที่ชัดเจนแล้ว คุณก็สามารถคิดทางออกได้หลายๆ แบบ หัวใจสำคัญก็คือต้องเป็นวิธีที่ยืดหยุ่น อย่าลืมว่าคุณต้องมองจากหลายมุมให้มากที่สุด การมองหารูปแบบหรือองค์ประกอบของปัญหาที่คล้ายๆ กัน บางครั้งก็ช่วยหาทางออกได้ การหาความคล้ายคลึงกันในแต่ละประเด็นของปัญหา ท้ายสุดจะช่วยให้คิดหาทางออกจากความคล้ายคลึงนั้นได้ คุณควรเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันร่วมคิดหาหลายๆ ทางออก 
 
ขั้นตอนที่ 5  เลือกทางแก้ 
 
เมื่อได้ไอเดียของทางแกปัญหาที่หลากหลายแล้ว คุณจะต้องประเมินทางแก้ต่างๆ เหล่านั้น ในขั้นตอนนี้คุณจะต้องเข้าไปตัดสินว่าจะกำจัดไอเดียที่ไม่ต้องการ ไม่น่าจะเป็นไปได้ออกไปทันที จากนั้นตัดสินใจว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ต้องการสำหรับทางแก้ที่เป็นไปได้และเหมาะสมที่จะปฏิบัติ ให้คุณเลือกทางแก้ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด 
 
ขั้นตอนที่ 6 วางแผน 
 
คุณอาจคิดว่าเมื่อเลือกทางแก้ปัญหาเสร็จ ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการแก้ปัญหา ในความจริงแล้วเป็นเพียงจุดเริ่มของขั้นตอนถัดไป นั่นคือการนำไปใช้ปฏิบัติจริง ในส่วนนี้คุณต้องเตรียมการและวางแผนอย่างมาก สำหรับ SME คงไม่ใช่แผนแก้ปัญหาที่ใหญ่นัก ดังนั้น คุณเพียงแค่ทำ Action Plans ที่กำหนดว่าใคร ทำอะไร อย่างไร เมื่อไหร่ ก็เพียงพอ
 
ขั้นตอนที่ 7 ขายไอเดีย  
 
ส่วนหนึ่งของการวางแผนที่สำคัญก็คือ คุณต้องขายไอเดียในการแก้ปัญหาของคุณว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง (ผู้บริหาร หัวหน้างาน ฯลฯ) ซื้อให้ได้ คุณอาจเจอการต่อต้านบ้าง ดังนั้น ก่อนที่จะ “ขาย” คุณควรคิดให้รอบคอบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วยและสามารถปรับเปลี่ยนแผนได้หากจำเป็น ทางออกที่ดีที่สุด ควรเป็นทางออกที่สนองความต้องการของทุกคนได้ 
 
ขั้นตอนที่ 8 ลงมือทำ  
 
ท้ายสุดนี้เมื่อคุณขายไอเดียได้แล้ว ก็ลงมือจัดการตามขั้นตอนที่วางไว้และนี่เป็นขั้นตอนที่ตื่นเต้นที่สุด เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ นั่นหมายถึงเสร็จสิ้นขั้นตอนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ พักสักครู่ แล้วให้กลับไปเริ่มต้นขั้นตอนที่ 1 ใหม่  การทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นการพัฒนาองค์กรของคุณให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ในอนาคต 
 
 

RECCOMMEND: MANAGEMENT

พลังของ Introvert ! ศักยภาพเงียบที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Introvert ไม่ได้แค่ “อยู่เงียบๆ” แต่คือพลังสำคัญในโลกการทำงาน ทั้งคิดลึก ฟังเก่ง สร้างสรรค์ และนิ่งภายใต้แรงกดดัน มาดูกันว่าทำไมธุรกิจถึงไม่ควรมองข้ามพลังเงียบนี้

Quiet cracking เทรนด์ใหม่มนุษย์เงินเดือน เมื่อคนเก่งเริ่มหมดใจกับงานที่รัก

Quiet Cracking อาการแตกสลายแบบเงียบๆ ของคนรักงาน ที่ยังชื่นชอบในงานที่ทำอยู่ แต่เริ่มไปต่อไม่ไหว จากงานที่หนักเกินไป ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอ เมื่อคนรักงาน หมดใจกับงานที่ทำอยู่ เราจะเยียวยาพวกเขายังไงดี อะไร คือต้นตอสาเหตุ ไปหาคำตอบกัน

Pet Friendly Workplace สูตรลับรักษาคนเก่ง ขององค์กรยุคใหม่

เมื่อก่อนใครพูดว่า “อยากพาน้องหมาน้องแมวมาทำงานด้วย” อาจโดนมองว่าแปลก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว เพราะหลายองค์กรทั่วโลกหันมาจริงจังกับ Pet Friendly Workplace ซึ่งช่วยลดอัตราการลาออก และรักษาคนเก่งให้อยู่ในองค์กร