Text: Neung Cch.
ในโลกธุรกิจที่ “วิกฤต” มักกลายเป็น “จุดจบ” แต่สำหรับ เจนนี่ รัชนก สุวรรณเกตุ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” มันกลับกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของสิ่งใหม่
“เทศกาลเจนนี่” ปรากฏการณ์ Live Commerce ที่ไม่ได้แค่ขายของ แต่สร้างบรรยากาศเหมือน “งานเทศกาลของ Empathy และ Urgency” ที่กวาดยอดขายทะลุ 200 ล้านบาทใน 4 วัน (วันแรก 24 ล้าน, วันที่สอง 33 ล้าน, วันที่สาม 80 ล้าน และวันที่สี่ 126 ล้าน)
ท่ามกลางดราม่าครอบครัวสุดร้อนแรงเรื่องหนี้สินและสัญญาแม่–ลูกในเดือนตุลาคม 2025 เจนนี่กลับพลิก “ความสนใจของสังคม” ให้กลายเป็น “พลังทางเศรษฐกิจ” และจุดประกายให้ทั้งวงการ Live Commerce ต้องหันกลับมาทบทวนโมเดลธุรกิจอีกครั้ง
เปลี่ยนวิกฤตเป็น Traffic: สมการใหม่ของ Engagement Marketing
“เทศกาลเจนนี่” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือการใช้ “วิกฤตความสนใจ (Attention Crisis)” ให้กลายเป็น “โอกาสทางการค้า” อย่างแยบยล
แทนที่จะรอให้กระแสดราม่าจางลง เธอกลับใช้พื้นที่ไลฟ์สดที่ผู้คนกำลังจับตามองให้กลายเป็น “จุดนัดพบของผู้ซื้อและผู้ขาย”
เมื่อดราม่าสร้าง Traffic มหาศาล แพลตฟอร์มจึงกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีผู้ชมหลักล้าน ผู้ที่เข้ามาเพราะอยากรู้ข่าว กลับกลายเป็น “ผู้ซื้อ” โดยไม่รู้ตัว
แรงขับเคลื่อนนี้คือสิ่งที่เรียกว่า “Supportive Buying” หรือ “การซื้อด้วยหัวใจ” ที่เกิดจากแรงสนับสนุนทางอารมณ์ มากกว่าการจูงใจด้วยโปรโมชั่น พลังของ empathy marketing แบบนี้ สร้างยอดขายได้มากกว่าการยิงแอดหลายเท่าตัว
สูตรลับ “Live Marathon”: การบริหารดีลและอารมณ์แบบ Non-Stop
สิ่งที่ทำให้ปรากฏการณ์นี้แตกต่าง คือ “ความยาวของไลฟ์” ที่ต่อเนื่องราวกับมาราธอน สร้างโมเมนตัมยอดขายไม่ให้หยุดนิ่ง เจนนี่ไม่ได้ขายของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เปิดพื้นที่ให้แบรนด์อื่นเข้าร่วมในรูปแบบ “ตลาดนัดไลฟ์สด” ที่มีระบบจัดการอย่างเป็นมืออาชีพ
แต่ละแบรนด์ต้องเตรียม “ดีลพิเศษเฉพาะเทศกาลนี้เท่านั้น” เพื่อกระตุ้นให้ผู้ซื้อรีบตัดสินใจทันที
ขณะเดียวกัน เธอยังเชิญศิลปิน–ดารา–ผู้ประกอบการมาร่วมสลับกันขึ้นไลฟ์ เพื่อรักษาความสดใหม่ของคอนเทนต์และดึงฐานแฟนใหม่เข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง จึงไม่แปลกที่ยอดขายจะไหลไม่หยุดตลอดหลายสิบชั่วโมง
โมเดลธุรกิจใหม่: “จ่ายตามผลงาน” พลิกเกม Live Commerce
หัวใจของโมเดลนี้คือการคิดค่าขึ้นไลฟ์แบบใหม่ จากเดิมที่เก็บเป็นรายชั่วโมงละกว่า 200,000 บาท เธอปรับเป็น 50,000 บาทต่อทุก 1,000 ออเดอร์ แบรนด์ไม่ต้องเสี่ยงจ่ายเงินก้อนล่วงหน้า ถ้าขายได้ค่อยจ่าย ส่วนเจนนี่ก็มีแรงจูงใจสร้างยอดขายให้ถึงเป้า
โมเดลนี้จึงเป็นระบบ Win–Win ทั้งสองฝ่าย และผลลัพธ์ชัดเจน: เพียงเวลา 5–10 นาทีต่อแบรนด์ บางสินค้าขายหมดใน 3 นาที ด้วยยอดหลักสิบล้าน
เช่นกรณีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของ “หนุ่ม กรรชัย” ที่ส่ง “แจ็ค แฟนฉัน” มาช่วยขาย ผลคือ 19 ล้านบาทใน 10 นาที ตัวเลขที่ตอกย้ำว่า Live Commerce ไม่ได้ตาย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนสูตรคิดใหม่
ไม่ได้ขายของ แต่ “ขายประสบการณ์ร่วม”
สิ่งที่เจนนี่ทำไม่ได้เป็นแค่การไลฟ์ขายสินค้า แต่คือการสร้าง “ช่วงเวลาที่คนอยากอยู่ด้วย” ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในงานอีเวนต์จริงที่มีความสนุก ความจริงใจ และอารมณ์ร่วม เพราะเธอไม่ได้มอง Live เป็นช่องทางขายของ แต่เป็น “เวทีของความสัมพันธ์” ที่เชื่อมอารมณ์คนกับแบรนด์เข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น
ความไม่เพอร์เฟกต์คืออาวุธ
ใครที่ได้ดูไลฟ์ของเธอจะเห็นชัด เจนนี่ไม่พยายามพูดให้สวย หรือทำให้ทุกอย่างดูเป๊ะ เธออาจอยู่ในชุดนอน ไม่แต่งหน้า กินข้าวไปด้วย หรือแค่ถือมือถือถ่ายเองโดยไม่มีโปรดักชันใหญ่ แต่สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็น “ทุนทางความเชื่อใจ (Trust Capital)” ที่แบรนด์ใหญ่หลายรายไม่มี
เธอพิสูจน์ให้เห็นว่า ยุคนี้ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องจริงใจและสม่ำเสมอ นั่นคือพลังของ “Authentic Influence” ที่สร้างยอดขายได้จริงยิ่งกว่าภาพลักษณ์หรูหราใดๆ
จาก Live Commerce สู่ Festival Economy
เจนนี่ไม่ได้เป็นแค่ผู้ขาย แต่กำลังสร้าง “ระบบเศรษฐกิจเล็กๆ” ของตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม เธอเปิดพื้นที่ให้แบรนด์อื่นเข้ามาร่วมเหมือนการจัดอีเวนต์ โดยตัวเองทำหน้าที่เป็น “เจ้าภาพ” และแบรนด์ต่างๆ คือ “ผู้ร่วมออกบูธ
โมเดลนี้ไม่ใช่ Live Commerce แบบเดิม แต่คือสิ่งที่นักการตลาดเรียกว่า Festival Economy ทุกแบรนด์ที่เข้าร่วมได้ทั้งยอดขาย การมองเห็น และการเชื่อมโยงเข้ากับกระแสความสนใจอย่างมหาศาลเปรียบเหมือนการได้วางสินค้าใน “ห้างสรรพสินค้าแห่งยุคดิจิทัล” ที่มีผู้เข้าชมหลักล้านคนในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
จากไวรัลสู่ระบบรายได้จริง
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้หยุดแค่ไวรัล แต่ต่อยอดเป็น “ระบบสื่อของตัวเอง” ทุกครั้งที่มีไลฟ์ จะมีรูปแบบโฆษณา แพ็กเกจสปอนเซอร์ และช่วงเวลาการออกอากาศเหมือนรายการโทรทัศน์ นี่คือการแปลง “คอนเทนต์” ให้กลายเป็น “แพลตฟอร์มสื่อ” ที่สร้างรายได้ซ้ำได้จริง
และสิ่งที่ “เทศกาลเจนนี่” สะท้อนชัดที่สุด คือการเปลี่ยนจาก “Live Commerce” ไปสู่ “Creator Economy แบบครบวงจร” เพราะเธอไม่ได้แค่ขายของ แต่กำลังสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” ของตัวเอง มีช่องทางสื่อ มีระบบขาย และมีความเชื่อใจเป็นทุน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่แค่การไลฟ์ขายสินค้า แต่มันคือ “โมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่กำลังท้าทายสูตรการตลาดแบบเดิมทั้งหมด
ในโลกที่แบรนด์พยายามสร้างไวรัล เจนนี่กลับสร้างระบบ
ในยุคที่คนขายของแข่งกันพูด เธอเลือกทำให้คนอยากฟัง
และนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ Live Commerce ไทย ไม่ได้ขายสินค้า…
แต่ขาย “ความเชื่อ” ได้สำเร็จจริง
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี