Green Marketing การตลาดที่ยังขายได้



วิมาลี วิวัฒนกุลพาณิชย์


    เห็นพ้องต้องกันไหมว่ากลยุทธ์การตลาดอันเป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับในวงกว้าง เห็นจะเป็น “การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม” ความจริงแล้ว Green Marketing หรือที่รู้จักในชื่ออื่น อาทิ Environmental Marketing, Ecological Marketing และ Eco-Marketing ไม่ใช่ของใหม่และถูกนำมาใช้หลายสิบปีแล้วด้วยซ้ำ โดยจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ที่ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนกำลังกลายเป็นกระแส จากนั้น สหประชาชาติหรือยูเอ็นได้ผสมโรงด้วยการกำหนดแนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม กระทั่งเลยมาถึงต้นทศวรรษ 1990 คู่มือ “การตลาดสีเขียว” หลายเล่มถูกตีพิมพ์ออกจำหน่าย เป็นการตอกย้ำความแรงของกระแสรักษ์โลก 

    จนถึงทุกวันนี้ การตลาดสีเขียวก็ยังถูกนำมาเป็นจุดขายได้เรื่อย ๆ คำจำกัดความดั้งเดิมของกลยุทธ์นี้คือการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ช่วงหลัง การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมกลายเป็นช่องทางที่ผู้ประกอบการใช้เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า เรียกว่าเป็นการโยงเข้ากับ CSR (Corporate Social Responsibility) อันหมายถึงการบริหารงานขององค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม 



    การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม (และรวมไปถึงสังคม) โดยหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง อันแรกคือการตลาดที่คำนึงถึงจริยธรรม  ไม่เอารัดเอาเปรียบคนในสังคม เช่น การทำการค้าแบบเป็นธรรม (Fair Trade) ยกตัวอย่างสตาร์บั๊คที่รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรประเทศโลกที่สามในราคายุติธรรม หรือแบรนด์เครื่องสำอาง อย่าง บอดี้ ช้อป และบูทส์ที่รับซื้อวัตถุดิบในการผลิตสินค้าจากประเทศยากจน ขณะที่แบรนด์รองเท้า Toms ก็จัดแคมเปญ One for One เมื่อลูกค้าซื้อรองเท้า 1 คู่ เด็กแอฟริกาที่ขาดแคลนรองเท้าก็จะได้รับบริจาค 1 คู่ Toms ยังมีแคมเปญคล้ายกันนี้กับสินค้าอื่นที่บริษัทผลิตเช่นกัน

    แนวทางที่สองของการตลาดสีเขียวคือการเน้นอนุรักษ์และพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหลากหลายวิธี เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น การใช้ถุงผ้า การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟ การใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถทำการ reuse และ recycle ได้ การสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด การส่งเสริมให้พนักงานใช้จักรยานแทนรถยนต์ หรือถ้าเป็นองค์กรใหญ่ก็อาจมีส่วนร่วมในโครงการที่ใหญ่ขึ้นมาอีก เช่น ค่ายรถยนต์หลายค่ายที่พัฒนารถยนต์ไฮบริดเพื่อลดมลพิษ หรือบริษัทคอมพิวเตอร์ฮิวเล็ต-แพคการ์ดที่นำขยะอิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิลต่อเนื่องนับสิบปี รวมน้ำหนักแล้วหลายล้านตันเลยทีเดียว อีกตัวอย่างหนึ่งก็จอห์นสันแอนด์จอห์นสันที่ขึ้นแท่นบริษัทที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์สูงเป็นอันดับ 2 ในสหรัฐฯ

    นอกจากการผูกติด Green Marketing กับ CSR เพื่อสร้างภาพลักษณ์อันดีงามให้องค์กรแล้ว ยังมีหลากหลายเหตุผลที่ทำให้ผู้ประกอบการหรือหน่วยงานต่าง ๆ หันมาปฏิบัติตามแนวทางการตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากจะสรุปก็น่าจะมี 3 ข้อด้วยกันคือ 1) ทั่วโลกมีการตื่นตัวเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม และผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นหันมาสนใจและอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม 2) บรรดาผู้ผลิตสินค้ามองว่าการเกาะกระแสสิ่งแวดล้อมทำให้มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งยังทำให้เกิดการพัฒนาสินค้าที่เอื้อต่อการสร้างภาพลักษณ์องค์กรอีกด้วย และ 3)ผลพวงจากการออกกฎหมายของรัฐเพื่อปกป้องสังคมและคนในสังคม เช่น บางประเทศห้ามการใช้ถุงพลาสติกบรรจุสินค้าให้ลูกค้า หรือที่กรุงเดลี เมืองหลวงของอินเดียก็มีกฎให้รถยนต์ทุกคนใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันเพื่อลดมลพิษ เป็นต้น 

    แต่โดยหลัก ๆ แล้วอาจเป็นหลัก demand-supply ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำระดับโลกอย่างนีลเซ่น โกลบอล เซอร์เวย์ได้ทำการสำรวจความเห็นของผู้บริโภคกว่า 30,000 คนใน 60 ประเทศทั่วโลกพบว่าร้อยละ 55 ของผู้บริโภคยินดีควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยกระแสนี้ได้รับการตอบรับดีมากโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่คิดเป็นสัดส่วนสูงสุดถึงร้อยละ 64 รองลงมาได้แก่ละตินอเมริกาตะวันออกกลาง + แอฟริกา ร้อยละ 63 ส่วนตลาดอเม ริกาและยุโรป ตัวเลขอยู่ที่ร้อยละ  42 และ40 ตามลำดับ

    นีลเซ่น โกลบอล เซอร์เวย์ระบุอีกว่าผู้บริโภคยอมรับสินค้าประเภทนี้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อและพฤติกรรมดังกล่าวกำลังขยายในวงกว้าง จึงอาจเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการนอกจากจะมีส่วนร่วมในสังคมยังเป็นช่องทางในการผลักดันแบรนด์ให้เติบโตได้ พฤติกรรมที่น่าสนใจอีกประการคือ เกินครึ่งของผู้บริโภคทั่วโลกระบุบรรจุภัณฑ์มีส่วนอย่างมากในการทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้า โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้จะอ่านฉลากก่อนทุกครั้งเพื่อตรวจสอบว่าสินค้านั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริง 

    กฎอย่างหนึ่งที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการตลาดคือ “รู้เขา รู้เรา” การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมก็เช่นกัน จะปล่อยหมัดเด็ดอะไรออกไป ควรต้องรู้จักกลุ่มผู้บริโภคก่อนจะดีกว่า ถ้าแบ่งผู้บริโภคคร่าว ๆ อาจได้ 3 กลุ่มดังนี้ 1) Deep green กลุ่มเขียวจัดที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมระดับสูง มีพฤติกรรมสนับสนุนผลิตภัณฑ์สีเขียวแบบสุดลิ่มทิ่มประตู 2) Lazy green เป็นกลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมระดับหนึ่ง แต่ก็ยังแคลงใจเกี่ยวกับการกระทำอันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น คือยังไม่ค่อยเชื่อในทัศนคติประเภท “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เสียเลยทีเดียว และ 3) Non-green มองข้ามทุกอย่างและสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องที่ไกลตัวกลุ่มนี้มาก ๆ

    ด้าน Natural marketing Institute ซึ่งเป็นสถาบันด้านการตลาดในอเมริกาก็แบ่งกลุ่มผู้บริโภคด้านสิ่งแวดล้อมละเอียดขึ้นเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
    •  LOHAS (Lifestyles of Health and Sustainability) เป็นกลุ่มแทบจะหายใจเข้าออกเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตผูกติดกับการดูแลสุขภาพและการใช้ผลิตภัณฑ์แบบยั่งยืน จึงไม่แปลกที่จะเต็มใจร่วมมือในการปฏิบัติเพื่อให้โลกดีขึ้น โดยเจาะจงใช้ผลิตภัณฑ์เกือบทุกอย่างที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
    •  Naturalites ดีกรีความใส่ใจสิ่งแวดล้อมอาจไม่เข้มข้นเท่า LOHAS แต่อย่างน้อยก็ยังติดตามข่าวสารและมักเริ่มจากตัวเองและครอบครัวก่อน โดยมีแนวโน้มมีส่วนร่วมในระดับสังคมในภายหลัง
    •  Drifters เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างฉาบฉวยและชอบตามกระแส แต่ไม่ได้มีความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมจริงจัง อาจเป็นกลุ่มที่เห็นเขาฮิตถือกระเป๋าผ้าสกรีน “I am not a plastic bag” ก็ซื้อหามาใช้บ้างเพื่อให้เหมือนคนอื่น หรือไปถอยจักรยานมาปั่นเพราะกำลังเป็นที่นิยมของคนในสังคม เป็นต้น
    •  Conventionals กลุ่มนี้จะสนใจสิ่งแวดล้อมก็ต่อเมื่อสิ่งที่เลือกหรือปฏิบัตินำมาซึ่งประโยชน์แก่ตนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การนำสิ่งของต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ (reuse) การซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 หรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลเพื่อประหยัดไฟฟ้า คืออะไรที่เป็นผลดีกับตัวเอง กลุ่มนี้จะทำ
    •  Unconcerneds เป็นกลุ่มที่ไม่สนใจและละเลยสิ่งแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง

    ไม่ว่าเป็นลูกค้ากลุ่มไหน สิ่งที่ผู้ประกอบการพึงระลึกคือแต่ละกลุ่มใช้วิธีแตกต่างกันในการเข้าถึง รวมไปถึงจุดกระตุ้นที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกอยากซื้อสินค้า หลัก 3 ข้อที่ทำให้การตลาดสีเขียวประสบความสำเร็จคือ จริงใจไม่หลอกลวง ให้ความรู้ผู้บริโภคเสมอเมื่อมีโอกาส และให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมองค์กร การตลาดเพื่อสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการประชาสัมพันธ์ หรือการตอบสนองตลาด หากยังหมายรวมถึงการทำให้ความคาดหวังที่ผู้บริโภคมีต่อองค์กรเป็นรูปเป็นร่างอีกด้วย


ที่มา วารสาร K SME Inspired

RECCOMMEND: MARKETING

เคสยาดม ชวนหิว ไอเดียทำเงิน จากไอเทมฮิต ว้าว! จนอยากหยิบมาใช้

พบไอเดียสุดเก๋ “เคสยาดม ฉบับคนหิว” ที่นำเอาเมนูสรีทฟู้ดแบบไทยๆ รวมถึงอาหารฟาสฟู้ดมาปั้นด้วยดินไทย ทำเป็นเมนูต่างๆ อาทิ ผัดไท, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยว, มาม่า ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอร์เกอร์, ถังไก่ KFC

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง