BASIC TEEORY จิวเวลรีหรูจากกระดาษ






 
     สร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้กับวงการจิวเวลรีไทยมาตลอดระยะเวลา 4 ปี เมื่อแบรนด์ BASIC TEEORY นำเศษกระดาษมาทำเป็นเครื่องประดับ สร้างความแตกต่างและมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุที่คนมองข้าม สะท้อนความคิดที่ว่าคุณค่าของเครื่องประดับนั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่การทำมาจากวัสดุที่ต้องมีราคาสูงอย่างเดียวเท่านั้น
 

     จากการเปิดเผยของ วรชัย ศิริวิภานันท์ ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์แบรนด์ BASIC TEEORY บอกว่า เริ่มทำแบรนด์มาตั้งแต่ปี 2557 ด้วยมีประสบการณ์การทำงานเกือบ 20 ปีทางด้านการออกแบบกับดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส เกิดการเรียนรู้ในการนำเศษวัสดุที่หลากหลายมาทำเป็นเครื่องประดับ จนเกิดความชอบและอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเอง
 

     “เราอยากทำแบรนด์จิวเวลรีที่มีความแตกต่างจากท้องตลาดทั่วไป เริ่มจากการทดลองกับวัสดุหลายๆ อย่างจนมาถึงกระดาษ เราคิดว่ามันมีความน่าสนใจบางอย่าง มีทั้งจุดด้อยและจุดแข็ง ก็เลยเริ่มจากตรงนั้น อย่างจุดด้อยของกระดาษนั้นมีเยอะแยะมากมาย เช่น เปียกน้ำไม่ได้ ไม่ทนทาน ทำความสะอาดไม่ได้ ส่วนจุดเด่นคือน้ำหนักเบา ราคาถูก หาได้ง่าย เราพยายามมองจุดด้อยของมันว่าถ้าเราสามารถเปลี่ยน characteristic ของมันได้ นั่นแปลว่าเราสามารถเอาจุดอ่อนของมันมาเป็นจุดขายและจุดแข็งได้ ดังนั้นทิศทางการทำงานก็คือการพัฒนาตัววัสดุยังไงก็ได้ให้มัน functional ทนทานและกันน้ำได้”
 



     สำหรับตัวกระดาษที่ใช้นั้น เริ่มแรกทางแบรนด์ได้มีการขอจากออฟฟิศเป็นพวกกระดาษรีไซเคิล หรือ A3 แต่กลับพบกับปัญหาของความไม่แข็งแรงและความไม่สวยงาม จนกระทั่งไปเจอกับเศษกระดาษที่เขาทิ้งจากพวกโรงพิมพ์ต่างๆ จนเป็นที่มาของการเป็นวัสดุหลักของแบรนด์
 

     “การไปเอากระดาษจากโรงพิมพ์นั้นต้องมีการไปเวิร์คที่หน้างานว่าจะให้เขาเจียเท่าไหร่ จะเก็บเท่าไหร่ โดยเราต้องแพลนว่าไปทีหนึ่งต้องเก็บกระดาษให้ได้ประมาณหนึ่ง ไปเอามาล็อตหนึ่งทีเดียวก็ใช้ได้นาน แต่อย่างไรก็ตามเราเลือกชนิดหรือประเภทของกระดาษไม่ได้ ถ้าโรงพิมพ์ตอนนั้นเขามีแบบนั้นเราก็ไม่สามารถไปเลือกได้ เราต้องดูว่ากระดาษล็อตนี้เป็นกระดาษอะไร กี่แกรม เพราะแกรมจะมีผลต่อความหนา จำนวนรอบที่เราม้วนด้วยเหมือนกัน คือเราต้องดูว่าคราวนี้มากี่แกรม คราวที่แล้วกี่แกรม แล้วเราต้องใช้กระดาษกี่ชิ้นในการต่อแล้วก็ม้วน ดังนั้นประเภทของกระดาษที่ดีคือต้องมีแกรมที่ไม่หนามาก แกรมยิ่งอ่อนก็ยิ่งดี แต่แกรมยิ่งอ่อนก็ยิ่งทำงานยาก การทำงานยิ่งใช้เวลาเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นต้องเอากลางๆหรือแกรมที่มีความหนาประมาณหนึ่งที่เราทำงานได้เร็วแล้วก็มีความแข็งแรง”
 

     ส่วนขั้นตอนการผลิตนั้น วรชัย เล่าว่า ใช้วิธีการ outsource ในแง่ของการหาคนมาช่วยทำในเรื่องของตัวกระดาษอย่างคนในหมู่บ้านหรือพวกแม่บ้านที่ต้องการหารายได้พิเศษเพิ่มเติม โดยทางแบรนด์จะมีการสอนแบบ workshop ให้คนมารับอุปกรณ์ได้ที่บ้านทั้งตัวกาว แกน กระดาษแบบฟรีๆ แล้วจ่ายค่าแรงให้
 

     “เราจะสอนเขาว่ามีวิธีการทำยังไง ให้เขาทำตัว bead ตัว body กำหนดไซส์ บอกความต้องการของเราว่ากระดาษเท่านี้ ม้วนกี่รอบ กี่ชิ้น ต่อกันกี่ชิ้น แล้วเราต้องการกี่หมื่น กี่พันเม็ด แต่ว่าเรื่อง clothing หรืออะไรทุกอย่างจะจบที่เราทั้งหมดอย่างเทคนิคกันชื้น เพิ่มความทนทานและความแข็งแรง ทำให้แห้งสนิท ทำสี ทำลาย และการร้อยให้กลายเป็นสร้อย”
 



     ด้วยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยทำงานที่มีกำลังซื้อสูงอย่างนักธุรกิจหรือเจ้าของกิจการ อายุประมาณ 40 – 80 ปี ทำให้ทางแบรนด์ต้องการที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำงานอายุ 20 กว่าๆถึง 30 ปี โดยใช้การเพิ่มสีสันและลวดลายลงบนเครื่องประดับ อีกทั้งทำต่างหูออกมาวางขายเพื่อเจาะตลาดกลุ่มนี้โดยตรง
 

     “แรกเริ่มไม่สนใจที่จะทำต่างหูเลย ทำแค่สร้อยเพราะเราเริ่มจากสิ่งที่เราอยากทำซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะเราไม่รู้ความต้องการของตลาดเลย เคยคิดว่าตัวสร้อยมันก็เส้นใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่อะไรอย่างอื่น แต่พอเราเริ่มขายจริง กลายเป็นว่ามีหลายคนที่ชอบในแบรนด์ของเรา ชอบในสตอรี่ของเรา แต่เขาไม่ใส่สร้อย บางคนก็ใส่แค่ต่างหู มันไม่จำเป็นต้องใส่แมชชิ่งกัน เราก็เริ่มเรียนรู้ว่าจะมีแค่สร้อยอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ยังไงต่างหูก็เป็นสิ่งสำคัญ ทำให้สินค้าของแบรนด์เริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น”
 

     แม้การตลาดออนไลน์จะมาแรงในยุคนี้ แต่กลับเป็นวิธีที่ไม่เวิร์คสำหรับทางแบรนด์เลยโดยเฉพาะกับลูกค้าใหม่ โดย วรชัย อธิบายว่า เพราะพวกเขานึกภาพไม่ออกว่าสร้อยกระดาษมันเป็นยังไง ดังนั้นช่องทางออนไลน์จะขายได้เฉพาะลูกค้าเก่าที่เคยซื้อไปแล้วเท่านั้น
 

     “ลูกค้าใหม่ทางออนไลน์เราจะไม่โฟกัส เพราะลูกค้าใหม่เขาไม่เข้าใจว่าโปรดักต์นั้นหน้าตาเป็นยังไง สัมผัสแล้วเป็นยังไง ทนหรือเปล่า เขายังถามเราว่าเป็นสร้อยกระดาษแล้วมันยับไหม เขายังไม่เก็ทกับมันเลย ดังนั้นช่องทางนี้เลยเหมาะกับลูกค้าเก่าที่เคยเห็นแล้วว่าสร้อยของเราขนาดไหน น้ำหนักประมาณเท่าไหร่ มีความคงทนเป็นอย่างไร”
 



     มาถึงตรงนี้ เจ้าของแบรนด์บอกว่า แม้ปัจจุบันยังไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเองแต่ก็มีความคิดที่จะทำให้สำเร็จในอีก 2 – 3 ปีข้างหน้าแทนที่การฝากขายตามโรงแรมหรือร้านในห้างต่างๆ อย่างทุกวันนี้
 

     “เพราะฝากขายยังไงก็ไม่สู้เท่ามาขายเอง มีหน้าร้านของเราเอง เพราะเราอยากให้มันเป็นแกลลอรี่เล็กๆ ไม่อยากให้แค่เป็นช็อป ให้มันมีเรื่องมีราว แล้วก็สามารถที่จะโชว์คาแรคเตอร์ของเราได้จริงๆ ปัญหาจากการฝากขาย คือ คนที่ขายไม่ใช่เรา ดังนั้นเขาจะไม่เล่าเรื่องราว วางมันไว้เฉยๆ คนเดินผ่านไปผ่านมา เขาไม่รู้หรอกว่ามันคือกระดาษ เขาก็จะไม่เห็นคุณค่าหรือเรื่องราวของมัน เขาให้มันขายตัวมันเอง แต่เวลาที่เราออกงานเราก็จะเล่าเรื่องให้ลูกค้าฟัง ลูกค้าก็จะค่อนข้างอิน เขาก็จะเห็นมูลค่าของมัน มันก็จะจบการขายได้ เรื่องของทำเลก็เป็นปัญหาอีกอย่าง ถ้าทำเลมันไม่ใช่มันก็ไม่ใช่ เช่นมันไม่มีประโยชน์ที่จะไปเปิดที่สยาม เพราะเป้าหมายของเราไม่ใช่เด็กที่แฟชั่นขนาดนั้น แต่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่เขาเดินช้อปปิงที่เซ็นทรัลชิดลม เอ็มโพเรียมแค่นั้น หรือเป็นกลุ่มต่างชาติ เราเล็งไว้ว่ามันจะต้องอยู่ในพื้นที่แถวเพลินจิต สุขุมวิท บางลำพู แหล่งที่นักท่องเที่ยวเดิน”วรชัย กล่าวทิ้งท้าย




www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

เคสยาดม ชวนหิว ไอเดียทำเงิน จากไอเทมฮิต ว้าว! จนอยากหยิบมาใช้

พบไอเดียสุดเก๋ “เคสยาดม ฉบับคนหิว” ที่นำเอาเมนูสรีทฟู้ดแบบไทยๆ รวมถึงอาหารฟาสฟู้ดมาปั้นด้วยดินไทย ทำเป็นเมนูต่างๆ อาทิ ผัดไท, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยว, มาม่า ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอร์เกอร์, ถังไก่ KFC

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง