​เบื้องหลังความสำเร็จของ “Aerie” แบรนด์ชุดชั้นในที่กล้าชน Victoria’s Secret




  4 พรีเซ็นเตอร์ “แอรี่” ประจำปี 2018 ภายใต้คอนเซปต์ “Role Models” / Cr.Aerie
 
 

     หลังประสบความสำเร็จจากการผลิตเสื้อผ้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นจนได้รับความนิยมไปทั่วสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ทั่วโลก American Eagle หรือ AE ก็กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นวัยรุ่นแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่ง กระทั่งปี 2006 หรือ 12 ปีที่แล้ว AE ก็เริ่มขยายไลน์สินค้าไปยังชุดชั้นใน และชุดว่ายน้ำสตรีภายใต้แบรนด์ “แอรี่” (Aerie) โดยวางกลยุทธ์การตลาดที่ส่งเสริมแนวคิด body positivity หรือการสนับสนุนให้ผู้หญิงรู้สึกในเชิงบวกต่อร่างกายตัวเองไม่ว่าจะมีรูปร่างแบบไหนก็ตาม ด้วยเหตุนี้ บรรดานางแบบที่แอรี่คัดสรรมาจึงไม่ได้มีเฉพาะนางแบบ หากยังรวมผู้หญิงธรรมดาที่พบเจอได้ทั่วไป และไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างสมบูรณ์แบบ
 

     คอนเซปต์ดังกล่าวดูเหมือนจะตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับ Victoria’s Secret แบรนด์ชุดชั้นในสตรีที่ครองส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งในอเมริกา เพราะสิ่งที่นำเสนอก่อให้เกิดภาพจำเกี่ยวกับบรรดานางแบบ Victoria’s Secret หรือที่รู้จักในฐานะ “นางฟ้า”ว่าต้องมีรูปร่างผอมเพรียวแบบบาง สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แฟชั่นชุดชั้นในของ Victoria’s Secret ที่ขนบรรดา “นางฟ้า” ซึ่งเป็นนางแบบและนักแสดงชื่อดังมาสวมปีกประชันรูปร่างอันงดงามบนแคทวอล์กกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทั้งสาวและหนุ่มทั่วโลกต่างเกาะหน้าจอเฝ้าดูการถ่ายทอดสด ขณะเดียวกันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการปลูกฝังค่านิยมผิดๆ คือ ผอมบาง  = สวยให้กับผู้บริโภค
 

     ตรงข้ามกับแบรนด์ชุดชั้นในแอรี่ที่ยืนหยัดเจตนารมย์ตั้งแต่แรกเริ่มในการสร้างค่านิยมสวยจากภายในสู่ภายนอก โดยรณรงค์ให้ผู้หญิงมั่นใจและมองเห็นคุณค่าตัวเอง ชุดชั้นในของแบรนด์นี้จึงออกแบบมาสำหรับผู้หญิงทุกคน และมีทุกขนาดตั้งแต่คัพ AA ไปจนถึง DD และไซส์ XXS ถึง XXL ในแต่ละปี แอรี่จะมีเปลี่ยนธีมไปเรื่อยโดยที่ยังคงแนวคิดเดิมคือการรณรงค์ให้ผู้หญิงยอมรับรูปร่างตัวเอง กระทั่งปี 2014 เพื่อสอดคล้องกับธีม The Real You is Sexy แอรี่เริ่มทำแคมเปญ #AerieReal นั่นคือสื่อโฆษณาทุกชนิดของแบรนด์จะไม่มีการรีทัช หรือโฟโต้ช้อป นางแบบรูปร่างเป็นอย่างไร  ไม่ว่าจะมีหน้าท้อง เอวหนา หน้าอกเล็ก มีรอยสัก หรือมีริ้วรอย ก็จะไม่มีการตกแต่งภาพ หากนำเสนอภาพที่แท้จริงแบบนั้นไปเลย นับได้ว่าแอรี่เดินหมากเป็นและมาถูกทางเพราะนักจิตวิทยาชี้การตกแต่งภาพเพื่อให้ดูไร้ที่ติหรือเกินจริงทำให้ลูกค้าเชื่อถือแบรนด์น้อยลง    
 

     บางปี แอรี่ก็ระดมนางแบบจำนวน 40 คนมีทั้งนางแบบมืออาชีพ และผู้หญิงทั่วไปโดยที่กว่าครึ่งไม่เคยถ่ายแบบมาก่อน ผู้หญิงเหล่านี้มาจากหลากหลายเชื้อชาติ วัย รูปร่าง และอาชีพ แต่มีสิ่งที่เหมือนกันคือไม่เพียงสวยแกร่งจากภายในสู่ภายนอก แต่ยังยอมรับว่าความไม่สมบูรณ์แบบของรูปร่างเป็นเรื่องปกติ ทั้งหมดเป็นตัวแทนของแอรี่ในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้กำลังใจสาว ๆ ในสังคม
 

     สำหรับปี 2018 นี้ก็ยังคงแนวคิดเดิมแบบที่เคยรณรงค์มาตั้งแต่แรก แต่มาในธีม Role Models ที่ได้หญิงเก่ง 4 คนประสบความสำเร็จในอาชีพมาเป็นแบบ ได้แก่ เรเชล แพลทเทน นักร้องนักแต่งเพลง ยารา ชาฮีดี นักแสดงผิวสี เอลี่ ไรส์แมน นักยิมนาสติกเหรียญทอง และอิสครา ลอว์เรนซ์ นักเคลื่อนไหวรณรงค์ด้าน body positivity นอกจากเป็นพรีเซนเตอร์ให้แอรี่แล้ว นางแบบทั้ง 4 จะพูดให้กำลังใจหญิงสาว พร้อมกับช่วยออกแบบชุดนั้นในรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น โดยกำไรจากคอลเลคชั่นนี้ แอรี่จะนำไปบริจาคองค์กรการกุศล
 

     ข้อมูลระบุร้อยละ 67 ของสาวอเมริกันสวมเสื้อผ้าไซส์ 14-34 และนับแต่ปี 2012 เป็นต้นมา ยอดการซื้อเสื้อผ้าพลัสไซส์ในกลุ่มวันรุ่นอเมริกันเพิ่มมาอยู่ที่ร้อยละ 34 การจับจุดเรื่องความหลากหลายของขนาดและรูปร่าง เมื่อรวมกับการทำแคมเปญรณรงค์ผู้บริโภคให้เชื่อมั่นในรูปร่างตัวเองเป็นกลยุทธ์ที่บรรลุผลเกินคาดไม่เฉพาะแบรนด์ชุดชั้นในแอรี่ หากยังเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์แฟชั่นทั่วไปด้วย   
 

ที่มา
www.businessinsider.com/aly-raisman-joins-aerie-body-positive-campaign-2018-1



www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี


 

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง

Color Psychology: จิตวิทยาเรื่องสี ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพิ่มยอดขาย

สี…ก็เปลี่ยนยอดขายได้ ทำไม Facebook ใช้สีน้ำเงิน? ทำไม Chanel ถึงเลือกสีดำทอง? ทำไมฟาสต์ฟู้ดต้องสีแดง-เหลือง? คำตอบอยู่ที่ “Color Psychology” จิตวิทยาของสีที่แบรนด์ใหญ่ใช้สร้างกำไรมาแล้วทั่วโลก