“ใช้ดีบอกต่อ” ทำไมการตลาดแบบปากต่อปากยังคลาสสิก?







     เดี๋ยวนี้เรามักจะเห็นแบรนด์ต่างๆ ทุ่มเงินมากมายมหาศาลไปกับการทำโฆษณา การรีวิวสินค้าผ่าน Influencer ที่ราคาแพงลิบ ระดับ Influencer ที่มียอด Follower แตะแสนแตะล้าน ราคารีวิวต่อโพสต์ก็ไม่ตำกว่าหลักหมื่น เผลอๆ เหยียบแสนก็มี เอาเข้าจริงการตลาดเหล่านี้ค่อนข้างฉาบฉวย เพราะผู้บริโภคส่วนใหญ่ในยุคนี้ต่างเมินเฉยต่อการรีวิวที่ไม่จริงใจของคนมีชื่อเสียง แต่กลับเชื่อถือคนที่ไม่มีชื่อเสียงมากกว่า ที่สำคัญการตลาดแบบปากต่อปากเนี้ยแหละยังเป็นอะไรที่สุดแสนจะคลาสสิกและใช้ได้ไม่ตกยุค
               

     เพราะเมื่อคนเราได้ยินคำแนะนำเรื่องอะไรบางอย่างออกจากปากคนที่เราไว้ใจ เช่น คนในครอบครัว พี่น้อง เพื่อนฝูง ยิ่งมีแนวโน้มว่าเราจะเชื่อว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นจริงมากเท่านั้น หลายคนอาจจะคิดว่าการบอกปากต่อปากบนโลกโซเชียลเนี้ยทรงพลังแต่ยังไงก็เชื่อเถอะว่า ไม่สู้คำแนะนำของคนใกล้ตัวหรอก
 

1.ปากต่อปากทรงพลัง

     
ถ้าคุณจะตัดสินใจซื้ออะไรบางอย่าง ระหว่างที่คุณกำลังหาข้อมูลแล้วมีเพื่อนเดินมาบอกว่า เห้ย ฉันลองใช้แล้ว มันดีจริงๆ คุณคงตัดสินใจซื้อของสิ่งนั้นได้ทันที ไม่ต้องคิดเยอะ แต่ถ้าเพื่อนบอกว่า ลองแล้ว ไม่เห็นดีอย่างโฆษณาเลย ลองตัวนี้ดีกว่า คุณก็คงจะเอนเอียงได้ไม่ยาก นี่แหละคือความทรงพลังของการบอกกันปากต่อปาก มันเปลี่ยนความคิดคุณได้ในหนึ่งประโยค โดยมีการรีเสิร์ชจาก TalkTriggers ได้มีการสำรวจชาวอเมริกันเกี่ยวกับการบอกกันปากต่อปากพบว่า 50% ของชาวอเมริกันจะเลือกคำแนะนำแบบปากต่อปากถ้าพวกเขามีโอกาสหาข้อมูลได้แค่ 1 ครั้ง และสำหรับแหล่งข้อมูลที่พวกเขาจะใช้หาข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจซื้ออะไรบางอย่าง อันดับแรกคือ Online Search 66% ส่วนอีก 2 อันดับที่ตามมาติดๆ คือ คนในครอบครัว 46% เพื่อนในชีวิตจริงของพวกเขา 45%
 

2.การบอกปากต่อปากเข้าถึงคนได้จำนวนมาก

     แต่แน่นอนว่าการบอกปากต่อปากในชีวิตจริงกว่าที่จะเข้าถึงคนอาจจะต้องใช้เวลาเมื่อเทียบกับการรีวิวบนโลกออนไลน์ที่ไปได้เร็วกว่า แต่ปากต่อปากในชีวิตจริงนั้นมีความยั่งยืนมากกว่า กระตุ้นการซื้อของคนได้มากกว่า 83% ของชาวอเมริกันบอกว่าพวกเขาเคยแนะนำปากต่อปากให้กับผู้อื่น 55% บอกว่าพวกเขาเพิ่งจะแนะนำปากต่อปากให้คนอื่นในช่วงเดือนล่าสุด เหตุผลสำคัญที่สุดที่พวกเขาเลือกที่จะบอกต่อคือการได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจากแบรนด์ โพรดักส์หรือการบริการ 71%
 


Cr : unsplash


3. แนะนำปากต่อปากน่าเชื่อถือกว่า

     
คนส่วนใหญ่ในตอนนี้ไม่เชื่อการรีวิวจากคนดังอีกต่อไปแต่กลับเชื่อใจในคนใกล้ตัวหรือแม้แต่คนที่พวกเขาไม่รู้จักแทน เทรนด์ของการใช้ Micro Influencer จึงมาแรงมาก โดย 41% ของชาวอเมริกันให้คุณค่ากับการแนะนำปากต่อปากของครอบครัวและเพื่อนมากกว่าการแนะนำบนโลกออนไลน์ ส่วน 66% บอกว่าพวกเขาเชื่อใจในรีวิวของบุคคลนิรนามหรือคนที่พวกเขาไม่รู้จัก และเมื่อถามว่าคนดังคนไหนที่พวกเขาเชื่อถือที่สุด 25% ซึ่งมากที่สุดตอบว่า ไม่มี ตามมาด้วย Oprah Winfrey หญิงสาวผู้ทรงอิทธิพลของอเมริกา 4% ซึ่งมากกว่า Donald trump ประธานาธิบดีอยู่ที่ 2.8%
 

     นี่แหละคือความสำคัญของการบอกปากต่อปากที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลยุทธ์ทางการตลาดนี้กลับทำให้ธุรกิจยุคเก่าอยู่มาได้โดยไม่ต้องทำการตลาดออนไลน์เลย ยิ่งเมื่อก่อนที่ไม่มีเทคโนโลยีเข้ามา การบอกกันปากต่อปากเป็นอะไรที่ได้ผลที่สุด เราใช้ดี เราบอกเพื่อน เพื่อนบอกครอบครัว แล้วก็พูดกันต่อไป จนในที่สุดสินค้าก็ดังแบบยั่งยืน แต่พื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการให้คนพูดกันต่อนั้นคือคุณภาพของสินค้าที่ต้องดีจริง ประทับใจจริง ราคาโดนใจจริง เมื่อคนชอบสินค้าคุณ ก็จะเกิดการบอกต่อได้ไม่ยาก เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจอย่าเพิ่งคิดข้ามขั้น ถ้าสินค้ายังไม่ดีก็อย่าเพิ่งคิดเรื่องโฆษณาไปไกล กลับมาพัฒนาสินค้าให้เพอร์เฟ็คก่อนแล้วรับรองเลยว่าถ้าดีจริง ไม่ต้องลงทุนโฆษณา ลูกค้าก็ตามหาคุณเอง
 
 

 www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

 

RECCOMMEND: MARKETING

วิกฤตสูงวัย เด็กเกิดใหม่น้อย กรณีศึกษาธุรกิจญี่ปุ่น ปรับตัวผลิตสินค้าผู้ใหญ่แทนสินค้าเด็ก

Oji Holdings ผู้ผลิตผ้าอ้อมในญี่ปุ่นประกาศยุติผลิตผ้าอ้อมเด็ก หันไปเพิ่มปริมาณการผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แทน สาเหตุมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงและจำนวนประชากรสูงวัยของญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้น

โอกาสโกอินเตอร์ของแบรนด์ไทย ทำงานกับนักธุรกิจระดับโลก งาน Gifts & Premium Fair ฮ่องกง

ฮ่องกงขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีการจัดงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง และหนึ่งในนั้นคืองานแสดงสินค้าของขวัญและของพรีเมียมภายใต้ชื่อ Hong Kong Gifts & Premium Fair ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27-30 เมษายน 2024