ศตวัสส์ ฝ่ายรีย์ เบื้องหลังป้ายฮาๆ ‘ร้านบิ๊กเต้’ โชห่วยในตำนาน





 

     ‘เพราะสินค้ามันพูดไม่ได้ พี่เลยต้องพูดแทนสินค้า’ ประโยคสั้นๆ ของผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะสร้างร้านโชว์ห่วยให้เป็นธุรกิจที่เลี้ยงตัวได้ แต่วันนี้กลายเป็นร้านโชว์ห่วยที่สร้างกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง ทั้งที่ในตอนเริ่มสร้างร้านค้าสะดวกซื้อใต้หอพักในย่านธรรมศาสตร์รังสิต เต้-ศตวัสส์ ฝ่ายรีย์ ก็ไม่ได้แพลนมาก่อนว่าร้านจะโด่งดังอย่างทุกวันนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือไม่ได้วางแผนว่าร้านจะขาดทุนอย่างหนักในช่วงแรกจนทำให้เขาเกือบถอดใจและล้มเลิกธุรกิจร้านโชว์ห่วยนี้ไป


     แต่ในที่สุดทางสว่างก็มาเยือนเมื่อเขาเริ่มแก้ไขจากต้นตอที่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็น ร้านมืด สินค้าน้อย พนักงานหน้าบูด และอีกสารพันปัญหารวมถึงเริ่มต้นสื่อสารกับลูกค้าอย่างจริงจัง ทั้งสื่อสารผ่านคำพูดและเขียนป้ายติดไว้ที่สินค้า เผื่อเวลาที่เขาไม่อยู่ลูกค้าก็จะได้อ่านป้ายและตัดสินใจซื้อของได้ทันที แหละนี่คือจุดพลิกผันที่ทำให้เขาเริ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้งหนึ่ง
 




แค่มีทำเลทอง แต่ขาดความรู้ธุรกิจอาจเจ๊ง

           

     เต้หรือพี่เต้ของเหล่าเด็กหอได้เล่าถึงช่วงแรกที่เขาทำร้านสะดวกซื้อร้านนี้ขึ้น เพียงแค่มีทำเลที่พอเหมาะและทำเลนี้น่าจะสามารถไปได้สวยกับธุรกิจร้านสะดวกซื้อ จึงทำให้เขาตัดสินใจทำร้านบิ๊กเต้
               

     “ก่อนหน้านี้ผมเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา มีจุดหนึ่งตอนทำงานบริษัทคือเวลาที่เราคิดอยากจะทำอะไรก็จะได้รับการอนุมัติบ้าง ไม่ได้บ้าง ผมเลยอยากพิสูจน์ความคิดตัวเองด้วยการมีธุรกิจเล็กๆ สักธุรกิจหนึ่ง ถ้ามันจะดีก็ดีด้วยตัวผมเองแต่ถ้าจะเจ๊งก็เจ๊งด้วยตัวผมเองเช่นกัน เริ่มต้นบอกเลยว่าค่อนข้างยาก ต้องพยายามหาความรู้เยอะมาก ช่วงเดือนแรกๆ ขาดทุนเยอะมากจนใกล้ถึงจุดที่ร้านกำลังจะเจ๊ง”
               


   

     ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของร้านบิ๊กเต้มาเยือนเมื่อเขาขาดทุนติดกันอยู่หลายเดือน จนเขาฮึดสู้และหาข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขร้าน โดยสิ่งที่เขาทำคือการย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นนั่นคือการฟังเสียงของผู้บริโภคว่าพวกเขาต้องการอะไร
               

     “ผมเริ่มหาข้อมูลจากที่คนบ่นๆ กันว่าร้านโชว์ห่วยเป็นยังไง แล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่เป็นแบบนั้น เราอยากที่จะรู้จักลูกค้ามากขึ้น เราอยากสื่อสารกับเขาแต่ว่าบางทีที่ผมไม่อยู่ร้าน ออกไปข้างนอกก็จะไม่ได้สื่อสารกับลูกค้าเลยคิดว่าจะทำยังไงให้สื่อสารกับลูกค้าได้ตลอดเวลา แนวคิดในการเขียนป้ายก็เกิดขึ้น”
 




เพราะสินค้าพูดไม่ได้ เราเลยต้องพูดแทนสินค้า
           

     หลังจากที่เต้ได้ปิ๊งไอเดียในการเขียนป้ายสินค้า เขาก็เริ่มต้นด้วยการสื่อสารกับลูกค้าด้วยการเขียนข้อความสั้นๆ จริงใจ เล่นมุกขำๆ ไปจนถึงหยิบเอากระแสที่กำลังเกิดขึ้นในโลกโซเชียลมาผสานกับการขายของจนเกิดเป็นความฮือฮาที่ถูกพูดถึงกันในวงกว้างมากขึ้น

               

     

     “ผมมีแนวคิดว่าสินค้าถ้าวางอยู่เฉยๆ เขาขายตัวเองไม่ได้ เขาพูดไม่ได้ไงว่า...ซื้อฉันหน่อยสิ...หยิบฉันสิ เราเลยคิดว่าเราต้องพูดแทนเขา อย่างน้อยก็แนะนำให้ลูกค้ารู้จักสินค้าคร่าวๆ รู้จักวิธีใช้งาน สรุปเป็นข้อความสั้นๆ ให้ลูกค้าเข้าใจและตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นนั้นได้เลย แล้วผมก็พบว่าการทำแบบนี้ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น มียอดขายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้พอเขาอ่านป้ายเสร็จเขาก็จะเข้ามาคุยกับเราต่อ ทำให้เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร”

               

     

     อีกหนึ่งเหตุผลที่ร้านบิ๊กเต้กลายเป็นโชว์ห่วยขวัญใจเด็กหอเป็นเพราะทางร้านเปิดใจรับฟังในสิ่งที่ลูกค้าพูด ลงมือทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เมื่อคุณเข้ามาในร้านบิ๊กเต้คุณจึงได้พบสินค้าแปลกๆ มากมายที่ไม่มีขายในโชว์ห่วยหรือร้านสะดวกซื้อร้านอื่น
   

     “สำคัญมากที่สุดคือเรื่องการสื่อสาร เพราะจะทำให้เราได้ข้อมูลจากลูกค้า รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร เราควรจะขายอะไร ร้านควรจะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ลูกค้าให้เรา เราพยายามสื่อสารกับลูกค้าให้มากที่สุด ยิ่งคุย ยิ่งสื่อสาร ยิ่งได้ข้อมูลที่จะนำมาพัฒนาปรับปรุงร้านได้”
 




เมื่อป้ายพูดแทนสินค้าและลูกค้าพูดแทนร้านบิ๊กเต้
               

     ด้วยความที่ป้ายในร้านบิ๊กเต้มีข้อความกระแทกใจคนรุ่นใหม่มากมายทำให้ลูกค้าที่เข้ามาซื้อของในร้านก็ชอบใจ ถ่ายรูปและแชร์ป้ายข้อความออกไปบนโลกออนไลน์ ทำให้ร้านบิ๊กเต้ถูกพูดถึงในฐานะร้านโชว์ห่วยที่ฮาที่สุด เช่น ป้ายที่โด่งดังที่สุดคือป้ายขายถุงยางอนามัยที่เขียนสรุปไซส์และฟังก์ชั่นของถุงยางแต่ละอันให้เข้าใจง่ายพร้อมตบท้ายด้วยคำว่า ‘ซื้อถุงยางไม่ต้องอาย เพราะคนขายไม่ใส่ใจเรื่องชาวบ้าน’
       
        

   

     “ตอนแรกไม่ได้สนใจการทำตลาดออนไลน์เลย แต่มีน้องๆ เข้ามาซื้อของแล้วเขาก็ถ่ายรูปแชร์ๆ กันออกไป ก็เริ่มมีคนถามว่าเป็นป้ายจากร้านไหน เราเลยคิดว่าไหนๆ ก็มีป้ายร้านเราไปโพสต์งั้นเราก็สร้างเพจเฟซบุ๊คของตัวเองเลยดีกว่า เป็นจุดเริ่มต้นในการทำตลาดออนไลน์ การทำตลาดออนไลน์ทำให้คนรู้จักร้านเราเยอะขึ้น”
               

     นอกจากนี้ทางร้านยังสร้างคาแร็กเตอร์พี่เต้ ผู้ซึ่งเป็นขวัญใจน้องๆ ให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้มาซื้อของในร้านที่คุ้นเคยกัน ในป้ายต่างๆ ก็จะมีคำเรียกแทนตัวเองว่า ‘พี่เต้’ ทำให้บรรยากาศในร้านบิ๊กเต้ค่อนข้างที่จะเป็นกันเอง ลูกค้าเข้ามาก็สามารถยิ้มได้ทุกคน
 




ธุรกิจที่ยั่งยืนต้องกลมกลืนกับชุมชน

           

     ณ ปัจจุบัน ร้านบิ๊กเต้ดำเนินธุรกิจมาแล้วเป็นเวลา 4 ปี สิ่งสำคัญที่ทางร้านยึดถือตั้งแต่ช่วงแรกคือการมีส่วนร่วมกับชุมชน อยากเป็นธุรกิจที่ไม่ได้เป็นผู้รับฝ่ายเดียวแต่ต้องการเป็นผู้ให้ด้วย ร้านบิ๊กเต้จึงเปิดรับสินค้าจากน้องๆ นักศึกษาที่อยากหารายได้พิเศษมาวางขายที่ร้าน นอกจากนี้ยังมีสินค้าจากธุรกิจ SME เล็กๆ รวมทั้งสินค้าจากลูกเพจในเฟซบุ๊คอีกด้วย
               


     

     “เรามองว่าร้านเรามีรายได้ เราก็อยากให้ลูกค้ามีรายได้ด้วย เราเป็นร้านค้า เวลาคนมาซื้อของ เงินมันจะวิ่งตรงมาที่ร้านเราอย่างเดียว แต่แทนที่มันวิ่งตรงมาหาเราอย่างเดียว เราอยากให้มันวนกลับไปหาลูกค้า พอลูกค้ามีรายได้ เงินก็จะวนกลับมาหาเรา กลายเป็นวงกลมแบบนี้ วินวินทั้งคู่ ตอนนี้เราก็มีข้าวกล่องน้องนักศึกษา สลัดโรล บราวนี่และสินค้าอื่นๆ อีก เราอยากสนับสนุนเขา”
 

      เต้ ผู้อยู่เบื้องหลังร้านโชว์ห่วยที่โมเดิร์นที่สุดในตอนนี้ได้กล่าวปิดท้ายว่า ธุรกิจที่สำเร็จนั้นไม่มีสูตรตายตัว คุณแค่ต้องหาตัวเองให้เจอและเป็นตัวของตัวเอง ใส่ใจลูกค้าเป็นหลัก ทำธุรกิจให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าของตัวเองโดยที่ไม่เสียตัวตนของคุณไป ที่สำคัญที่สุดคือการคิดถึงลูกค้าให้มากๆ อย่ากอบโกยผลประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียวเพราะนั่นจะทำให้คุณเติบโตอย่างไม่ยั่งยืน


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

วิกฤตสูงวัย เด็กเกิดใหม่น้อย กรณีศึกษาธุรกิจญี่ปุ่น ปรับตัวผลิตสินค้าผู้ใหญ่แทนสินค้าเด็ก

Oji Holdings ผู้ผลิตผ้าอ้อมในญี่ปุ่นประกาศยุติผลิตผ้าอ้อมเด็ก หันไปเพิ่มปริมาณการผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แทน สาเหตุมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงและจำนวนประชากรสูงวัยของญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้น

โอกาสโกอินเตอร์ของแบรนด์ไทย ทำงานกับนักธุรกิจระดับโลก งาน Gifts & Premium Fair ฮ่องกง

ฮ่องกงขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีการจัดงานแสดงสินค้าที่ยิ่งใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง และหนึ่งในนั้นคืองานแสดงสินค้าของขวัญและของพรีเมียมภายใต้ชื่อ Hong Kong Gifts & Premium Fair ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 27-30 เมษายน 2024