ส่องรอยช้ำการค้าไทย-จีน! โควิดพ่นพิษ สินค้าอะไรได้รับผลกระทบ



 
 
Main Idea
 
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics รายงานสถานการณ์ COVID-19 จะกระทบต่อมูลค่าการค้าไปจีนราว 20 เปอร์เซ็นต์ ในครึ่งปีแรก หรือเสียหายราว 2.4 แสนล้านบาท โดยหากยืดเยื้อ จะส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และอาจกระทบต่อการจ้างงานในประเทศได้
 
  • ในปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้ารวมของไทยพึ่งพิงตลาดจีนถึง 16 เปอร์เซ็นต์ ของการค้ารวม และมีมูลค่าสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท แยกเป็นสัดส่วนการนำเข้า 61 เปอร์เซ็นต์ และส่งออก 39 เปอร์เซ็นต์
 
  • สินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบในระดับสูง คือ เคมีภัณฑ์ ยางพารา และสินค้าเกษตร ส่วนสินค้านำเข้าที่จะได้รับผลกระทบจากจีนหยุดผลิตหรือไม่สามารถขนส่งสินค้าได้ คือ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน และเครื่องจักรและชิ้นส่วน 


 
 
     ยังคงพ่นพิษใส่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง สำหรับวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 
ตั้งแต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง จนมาถึงกลุ่มผู้ส่งออกและนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ซึ่งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics  ออกมาคาดการณ์ว่า พิษจาก COVID-19 จะกระทบต่อมูลค่าการค้าไปจีนราว 20 เปอร์เซ็นต์ ในครึ่งปีแรก จะส่งผลต่อการค้าและห่วงโซ่การผลิตไทยให้เสียหายถึง 2.4 แสนล้านบาท โดยหากยืดเยื้อ จะส่งผลต่อต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และอาจกระทบต่อการจ้างงานในประเทศได้



 
  • COVID-19 ยังไม่สงบ ส่งผลกระทบในวงกว้าง

     ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี รายงานว่า สถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19 ยังคงขยายวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการพบผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกขยับสูงขึ้นทะลุแสนราย และมีแนวโน้มที่สถานการณ์จะไม่คลี่คลายได้โดยเร็วส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีนสู่ระดับ 5.6 เปอร์เซ็นต์ ต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นซัพพลายเชนจากจีน จากการที่ผู้ผลิตจีนจำเป็นต้องหยุดการผลิตเพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัสนั่นเอง


     ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้ารวมของไทยพึ่งพิงตลาดจีนถึง 16 เปอร์เซ็นต์  ของการค้ารวม และมีมูลค่าสูง 2.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการนำเข้าที่ 61 เปอร์เซ็นต์ และส่งออกที่ 39 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าการค้าไปจีนโดยรวม ซึ่งสะท้อนว่าผลกระทบจากการชัตดาวน์ดังกล่าวนี้จะส่งผลต่อ ซัพพลายเชนการค้ากับจีนฝั่งผู้นำเข้ามากกกว่าฝั่งผู้ส่งออก


     โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินผลกระทบต่อภาคการค้าไทย-จีนจากการที่รัฐบาลจีนใช้มาตรการเข้มงวดชัตดาวน์ประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด จะทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2563 มูลค่าการค้าไทยไปจีนลดลงราว 2.4 แสนล้านบาท หรือหดตัว 20 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็น 1.6 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการค้ารวม และประเมินว่าสถานการณ์การค้าไทยจะค่อยๆ ฟื้นตัวได้ประมาณครึ่งปีหลัง ตามการคาดการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ค่อยๆ ลดความรุนแรงลง


 
  • จับตากลุ่มสินค้าส่งออก-นำเข้า ที่กระทบสูงสุด

     เมื่อพิจารณาผลกระทบรายกลุ่มสินค้าพบว่า สินค้าส่งออกที่จะได้รับผลกระทบในระดับสูง ได้แก่  เคมีภัณฑ์ (ลดลง 22.7 พันล้านบาท) ยางพารา (ลดลง 15.2 พันล้านบาท) และสินค้าเกษตร (ลดลง 8.0 พันล้านบาท) จะเห็นว่ากลุ่มสินค้าส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชัตดาวน์ดังกล่าว จะเป็นกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของเกษตรกรและแรงงานที่อยู่ในภาคการผลิตสินค้าวัตถุดิบที่เน้นส่งออกไปยังตลาดจีน




     ด้านสินค้านำเข้าที่จะได้รับผลกระทบจากจีนหยุดผลิตหรือไม่สามารถขนส่งสินค้าได้  ได้แก่ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ (ลดลง 53.4 พันล้านบาท) เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน (ลดลง 26.8 พันล้านบาท) และเครื่องจักรและชิ้นส่วน (ลดลง 15.9 พันล้านบาท) จะพบว่าสินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบจะเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่นำเข้ามาบริโภคในประเทศและส่วนหนึ่งเป็นสินค้าวัตถุดิบต้นทุนต่ำจากจีนที่ผู้ประกอบการนำเข้ามาเพื่อผลิตแล้วขายในประเทศหรือส่งออกต่อ


 
  • ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเพื่อรับมือ

     ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี บอกว่า ในกลุ่มผู้ผลิตที่นำเข้าวัตถุดิบจากจีนมีความจำเป็นที่จะต้องมองหาแหล่งนำเข้าอื่นๆ เพื่อมาชดเชยในช่วงครึ่งปีแรกที่วัตถุดิบจากจีนหายไป ทั้งนี้ ประเมินว่าสถานการณ์การผลิตในจีนจะหดตัวอย่างมากในช่วงไตรมาสแรกและน่าจะกระทบต่อเนื่องมาถึงไตรมาสสอง ซึ่งคาดว่าผลของการขาดแคลนสินค้าวัตถุดิบจะไม่กระทบต่อการผลิตในระยะสั้นๆ มากนัก เพราะผู้ผลิตยังพอผลิตสินค้าได้จากสต๊อกของวัตถุดิบที่ยังคงเหลืออยู่บ้างและอาจหันไปสั่งซื้อจากซัพพลายเชนประเทศอื่นๆ ทดแทน แต่ต้องยอมรับว่าการหาวัตถุดิบจากแหล่งใหม่ต้นทุนจะสูงขึ้นตามไปด้วย


     เมื่อพิจารณาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยวิเคราะห์ผ่านโครงสร้างรายได้จากการส่งออกและนำเข้าปี 2562 โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกผู้ได้รับผลกระทบมีสัดส่วนการค้าพึ่งพิงตลาดจีนสูงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์  ขึ้นไป พบว่าส่วนใหญ่ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจะเป็นผู้นำเข้า และเมื่อเจาะลึกผลกระทบต่อขนาดธุรกิจ พบว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนผู้ค้าขายกับจีนจะเป็นกิจการ SME ซึ่งได้รับผลกระทบคิดเป็นสัดส่วน 33 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าการค้าไปจีน ในขณะที่ 10 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนผู้ค้าขายกับจีน เป็นกิจการขนาดใหญ่ แต่หากคิดเป็นผลกระทบเชิงมูลค่าการค้าคิดเป็นสัดส่วนถึง 67 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าการค้าไปจีนรวม




     ทั้งนี้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินว่า สถานการณ์การค้ากับจีนจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะค่อยๆ ลดความรุนแรงลง อย่างไรก็ตาม หากการแพร่ระบาดยืดเยื้อจนทำให้ภาคการผลิตจีนชัตดาวน์ออกไปเกินกว่าครึ่งปีแรก คาดว่าจะส่งผลต่อซัพพลายเชนในประเทศ ทำให้วัตถุดิบขาดแคลน และส่งผลกระทบทำให้ผู้ผลิตที่พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากจีนมีต้นทุนการนำเข้าจากแหล่งอื่นที่สูงขึ้น จนทำให้ผู้ผลิตบางกลุ่มรับไม่ไหว ชะลอการผลิตออกไป ทำให้รายได้ของกิจการลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการจ้างงานในประเทศ เป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด 
 


     สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ทำการค้ากับจีนในช่วงเวลานี้ ก็ต้องปรับตัวรับมืออย่างมีสติ เพื่อผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ 


 
 



 
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

เคสยาดม ชวนหิว ไอเดียทำเงิน จากไอเทมฮิต ว้าว! จนอยากหยิบมาใช้

พบไอเดียสุดเก๋ “เคสยาดม ฉบับคนหิว” ที่นำเอาเมนูสรีทฟู้ดแบบไทยๆ รวมถึงอาหารฟาสฟู้ดมาปั้นด้วยดินไทย ทำเป็นเมนูต่างๆ อาทิ ผัดไท, ส้มตำ, ก๋วยเตี๋ยว, มาม่า ต้มยำกุ้ง, แฮมเบอร์เกอร์, ถังไก่ KFC

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง