จากถุงสินค้าวัดดวงช่วงปีใหม่ สู่เทรนด์กล่องสุ่มที่ทำกำไรให้ SME

 

 

     เทรนด์การตลาดที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ต้องยกให้ “กล่องสุ่ม” ที่สุ่มกันตั้งแต่สินค้าแฟชั่นอย่างเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอาง อาหารทะเล ผัก-ผลไม้ และล่าสุดที่เป็นกระแสสุดๆ เมื่อพิมรี่-พายขายกล่องสุ่มทั้งกล่องละ 10,000 และ 100,000 สร้างรายได้หลักร้อยล้านได้ภายใน 5 นาที

ถุงโชคดีในวันปีใหม่

     กล่องสุ่มเริ่มขึ้นในประเทศญี่ปุ่นโดยเรียกว่า “ฟุคุบุคุโระ” ที่แปลว่าถุงโชคดี ชาวต่างชาติก็จะเรียกว่า “Lucky Bag” นั่นเอง

     ห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะนำสินค้าหลายๆ ชนิดใส่ลงไปในถุง 1 ใบแล้ววางขายในช่วงเทศกาลปีใหม่เท่านั้น ใครที่ซื้อไปจะรู้สึกว่าได้สินค้าในราคาคุ้มค่าสุดๆ เพราะเงินที่จ่ายไปเรียกว่าถูกมากๆ เมื่อเทียบกับราคาขายแยกชิ้น บางครั้งถูกกว่าครึ่งต่อครึ่ง หรือบางคนเคยเจอว่ามูลค่าของสินค้าที่ได้รับนั้นสูงกว่าที่จ่ายไปถึง 9 เท่าเลยทีเดียว ก็เหมือนกับตอนที่ลูกค้าผู้โชคดีของพิมรี่พายซื้อกล่องสุ่มในราคา 100,000 แต่สิ่งที่ได้คือรถยนต์มูลค่าหลักล้านบาทนั่นล่ะ

     ด้วยความคุ้มค่าขนาดนั้นทำให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนมากจองตั๋วไปญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลปีใหม่เพื่อไปต่อแถวซื้อฟุคุบุคุโระโดยเฉพาะ แล้วก็เอามาเปิดกล่องรีวิวในยูทูปให้คนดูที่ไม่ได้ไปซื้ออิจฉากันเล่นๆ แต่บางทีก็มีคนรับหิ้วถุงโชคดีมาให้ คนซื้อก็จ่ายค่าหิ้วเพิ่มอีกหน่อยแต่เบ็ดเสร็จแล้วก็ยังถือว่าได้ของมาในราคาถูกอยู่ดี

กำเนิดธุรกิจขายสินค้าสุ่มโดยเฉพาะ

     การขายถุงโชคดีไม่ได้มีแค่ในญี่ปุ่น ที่สหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือฮาวายต่างก็มีกระแสกล่องสุ่มผุดขึ้นมา แต่ไม่ได้เรียกว่า Lucky Box มันถูกเรียกว่า Mystery Boxes มากกว่า

     เอาจริงๆ Mystery Boxes บูมสุดๆ ก็ในช่วงโควิดนี่เอง เพราะหลายประเทศล็อกดาวน์ ทั้งแบรนด์ดังหรือร้านเล็กต่างก็เปิดหน้าร้านขายไม่ได้ และคนหันไปซื้อของออนไลน์กันมากขึ้น การทำกล่องปริศนาจึงเป็นไอเดียที่เข้าที

     อย่างที่บอกว่านี่เป็นยุคของกล่องสุ่ม ไม่ใช่แค่แบรนด์สินค้าทำกล่องปริศนาออกมาขายเองเท่านั้น แต่ถึงขั้นมีแพลตฟอร์มธุรกิจขายกล่องสุ่มขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น Lootie ที่รวบรวมเอาสินค้าของแท้จากแบรนด์ต่างๆ มาจัดลงกล่อง เช่น กล่อง iPhone 12 ขายในราคา 2.99 ดอลลาร์ กล่อง Louis Vuitton Lucky ในราคา 4.99 ดอลลาร์ กล่อง Xbox VS PlayStation ในราคา 29.00 ดอลลาร์ หรือแม้กระทั่งจับคู่แบรนด์ Gucci x Louis Vuitton ลงกล่องขาย 99.99 ดอลลาร์ เป็นต้น

     อีกเจ้าหนึ่งก็คือ Scarce ที่ขนเอาสินค้าแบรนด์เนมอย่าง Off-White, Balenciaga หรือ Saint Laurent เป็นต้น มาลงกล่องแล้วเรียกมันว่า Luxury Mystery Boxes กล่องปริศนาสุดหรู โดยที่ผู้ซื้อสามารถเลือกสไตล์กว้างๆ 2 ประเภทคือ streetwear และ contemporary ซึ่งถ้าลูกค้าได้ของไปแล้วไม่ถูกใจบริษัทอนุญาตให้ส่งคืนได้แต่ต้องคืนทั้งกล่องภายใน 14 วัน จากข้อมูลจาก Scarce บอกว่ามีการส่งคืนกล่อง 10-15 เปอร์เซ็นต์ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วบริษัทก็ทำกำไรได้ เรียกได้ว่าขายกล่องสุ่มแบบจริงจังกันไปเลย แล้วก็มีลูกค้าเยอะเสียด้วย

     ส่วนในประเทศไทยก็เห็นๆ กันอยู่ว่ากล่องสุ่มได้กลายเป็นเทรนด์ที่มีหลายแบรนด์ลุกขึ้นมาทำ โดยเฉพาะ SME หลายแบรนด์ที่ SME Thailand Online ก็ได้ไปนั่งคุยมาแล้ว แทบทุกแบรนด์ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และเป็นกลยุทธ์ที่พาให้ผ่านวิกฤตโควิดมาได้ด้วยซ้ำ

ทำไมผู้บริโภคชอบกล่องสุ่ม

  • ชอบความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ลุ้น
  • รู้สึกว่าคุ้มค่า เพราะของที่ได้มามีมูลค่ามากกว่าเงินที่จ่ายไป
  • ได้โชว์ แทบทุกครั้งที่เปิดกล่องพวกเขามักจะแชร์ต่อในโลกโซเชียลว่าเปิดมาแล้วได้อะไรบ้าง

 

 ผลดีต่อผู้ประกอบการ

  • ได้ระบายสินค้า สินค้าบางชนิดขายไม่ค่อยดีเท่าไร กล่องสุ่มจึงเป็นโอกาสให้สินค้าเหล่านี้ไปถึงมือผู้บริโภคบ้าง แต่อย่ายัดเยียดแต่ของที่ขายไม่ค่อยออกลงในกล่องสุ่ม เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าถูกยัดเยียดมากเกินไป และไม่ประทับใจร้านเอาได้
  • ควบคุมต้นทุนได้ การจัดสินค้าแบบเฉลี่ยราคาสูงต่ำ กำไรมาก-น้อยจะช่วยเฉลี่ยต้นทุนสินค้าได้อัตโนมัติ
  • เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้าใหม่ ลองใส่สินค้าที่ลูกค้าไม่เคยซื้อ หรือโปรดักต์ใหม่ให้ลูกค้าได้เอาไปทดลองใช้บ้างก็ได้

     

     ใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว ลองเอาสินค้าของตัวเองมาทำ Lucky Bag หรือกล่องสุ่มให้ลูกค้าตื่นเต้นกันบ้างไหม

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง

Color Psychology: จิตวิทยาเรื่องสี ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพิ่มยอดขาย

สี…ก็เปลี่ยนยอดขายได้ ทำไม Facebook ใช้สีน้ำเงิน? ทำไม Chanel ถึงเลือกสีดำทอง? ทำไมฟาสต์ฟู้ดต้องสีแดง-เหลือง? คำตอบอยู่ที่ “Color Psychology” จิตวิทยาของสีที่แบรนด์ใหญ่ใช้สร้างกำไรมาแล้วทั่วโลก