กลยุทธ์คืนเงิน ไม่ต้องคืนสินค้า เทรนด์ใหม่วงการค้าปลีกที่แบรนด์ใหญ่ยืนยัน “ได้มากกว่าเสีย”

TEXT : sir.nim

Main Idea

  • “ไม่พอใจ ยินดีคืนเงิน แต่ไม่ต้องคืนสินค้า” นโยบายความคุ้มค่า + มัดใจลูกค้ารูปแบบใหม่

 

  • เป็นเทรนด์ใหม่ที่เริ่มนิยมทำกันมากในแบรนด์ค้าปลีกใหญ่ๆ เช่น Amazon, Walmart และ Target

 

  • นอกจากช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลาในการจัดส่งคืนแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาจากการทำงานซ้ำซ้อนในการส่งสินค้ากลับคืนไปมา และการจัดเก็บเข้าคลังสินค้าที่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ได้ด้วย

 

     เป็นปกติที่เวลาสั่งซื้อสินค้า แล้วเกิดได้รับสินค้าที่ไม่ถูกใจ ไม่ตรงปก ไปจนถึงใส่ไม่ได้บ้าง เราก็มักจะขอส่งคืน เพื่อขอเปลี่ยนสินค้า หรือขอเงินคืนบ้าง ซึ่งร้านค้าส่วนใหญ่ที่อนุญาตให้เปลี่ยนคืนได้ ก็มักจะให้ส่งสินค้ากลับคืนมาให้ บ้างก็ให้ลูกค้านำไปเปลี่ยนคืนด้วยตัวเองที่ร้านค้า ทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาเสียทั้งเงินและเวลา จนอาจทำให้ลูกค้าเกิดความไม่ประทับใจได้ จากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นจึงทำให้หลายแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลก เช่น Amazon, Walmart และ Target เริ่มหันมาใช้วิธีการแก้ปัญหารูปแบบใหม่ ยินดีคืนเงินให้กับลูกค้าเลย โดยที่ลูกค้าไม่ต้องส่งสินค้าคืนมาให้ แต่ให้เก็บเอาไว้ หรือนำไปบริจาคต่อก็ได้

ทำไมถึงไม่ต้องส่งคืน?

     หากลองมองดูอย่างผิวเผินอาจเห็นว่าวิธีการดังกล่าว น่าจะส่งผลดีต่อลูกค้าในการช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้ไม่ต้องยุ่งยากในการจัดส่งสินค้าคืนกลับมา แต่ความจริงแล้วในอีกด้านหนึ่ง ก็อาจส่งผลดีต่อผู้ค้าหรือเจ้าของสินค้าด้วยที่ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในดำเนินการ เพื่อนำสินค้ากลับไปเก็บไว้ในระบบและคลังสินค้าใหม่อีกครั้งหนึ่งเช่นกัน

     Amazon.com หนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้ายักษ์ใหญ่ของโลก เคยกล่าวไว้ว่าการรับสินค้าที่ลูกค้าส่งคืนกลับมาให้เพื่อเปลี่ยน หรือเพื่อขอรับเงินคืนก็ตาม อาจทำให้แบรนด์ต้องยุ่งยาก หรือสูญเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเพื่อนำกลับเข้าไปเก็บใหม่ไว้ในคลังสินค้าสูงถึง 20-65 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนสินค้าที่ขายเลยก็ได้ โดยเฉพาะกับสินค้าที่มีราคาขายไม่แพง หรืออาจนำไปขายต่อได้ยาก

    เช่นเดียวกับ นาธาน สมิธ รองประธานอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Appriss Retail บริษัทซอฟต์แวร์ค้าปลีกกล่าวว่าเทรนด์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ในวงการค้าปลีก และเป็นกระแสที่เร่งตัวขึ้นเมื่อช่วงเกิดโรคระบาด ซึ่งหากลองมองในมุมเศรษฐศาสตร์พบว่า 1. การรับสินค้าคืนถือเป็นต้นทุนขาออกในการขนส่งและจัดการ และนำกลับเข้าไปจัดเก็บไว้ใหม่ในคลังสินค้า 2. อาจทำให้เกิดมูลค่าความเสียหายที่จับต้องไม่ได้ เช่น หากเป็นการส่งคืนที่ไม่ใช่ความผิดพลาดจากมุมมองของลูกค้า เราอาจกำลังเพิ่มความไม่พอใจให้กับลูกค้าได้ และพวกเขาอาจไม่กลับมาซื้อกับคุณอีกเลย และ 3. อาจเป็นการเพิ่ม Carbon Footprint ในชั้นบรรยากาศให้มากขึ้นจากการขนส่งสินค้ากลับคืนไปมา

     ขณะที่ Amit Sharma ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Narvar กล่าวเสริมว่าการดำเนินการคืนสินค้าทำให้มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามมามากมาย เช่น ค่าธรรมเนียมการขนส่ง ค่าขนส่งสินค้า ต้นทุนคลังสินค้า การตรวจเช็คสภาพสินค้าก่อนนำเข้าไปเก็บไว้ในสต็อก รวมถึงชั่วโมงการบริการลูกค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น การตอบคำถามลูกค้าที่มักจะโทรมาสอบถามเสมอว่าจะได้รับเงินคืนเมื่อไหร่, จะส่งคืนมาในช่องทางไหน เป็นต้น

ซื้อ-ขายออนไลน์เป็นเหตุ

     มีการสันนิษฐานว่าที่มาของเทรนด์ดังกล่าวน่าจะมีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ผู้บริโภคมีการหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมียอดการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้คนอยู่กับบ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหน ซึ่งการสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ส่วนใหญ่ลูกค้าจะไม่สามารถเห็นสินค้าจริง หรือทดลองสินค้าก่อนซื้อได้ จึงอาจทำให้เกิดความผิดพลาดตามมา เช่น สินค้าไม่ตรงตามคุณภาพที่ลูกค้าต้องการ ใส่ไม่ได้บ้าง ไม่ตรงตามรูปภาพที่ลงไว้บ้าง จนนำมาซึ่งการขอส่งคืนเพื่อเปลี่ยนตัวใหม่ หรือขอรับเงินคืนในที่สุด

     Salesforce แพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) อันดับต้นๆ ของโลก ได้คาดการณ์ว่าในช่วงเทศกาลวันหยุดคริสมาสต์และปีใหม่ที่ผ่านมาในสหรัฐฯ มีคำสั่งซื้อมากกว่า 1.4 พันล้านรายการ หรือประมาณ 13% ที่ได้รับเงินคืนจากการขอคืนสินค้า ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 57% จากปีที่ผ่านมา

     จากการส่งคืนสินค้าปริมาณมากในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้สินค้าล้นโกดัง แถมการส่งของกลับไป-กลับมายังเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้ธุรกิจได้ โดย นาธาน สมิธ ได้กล่าวเสริมว่าปกติผู้ค้าปลีกต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้าประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อครั้ง ซึ่งหากต้องส่งสินค้าไปมาเพื่อเปลี่ยนคืนให้กับลูกค้า อาจทำให้ผู้ค้าปลีกต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้มากถึง 30 ดอลลาร์ หรือประมาณ 3 เท่าจากเดิมได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่จะพิจารณาค่าใช้จ่ายดังกล่าวใหม่

ใคร และอะไรบ้างที่ขอคืนได้?

     ถึงจะมีนโยบายดังกล่าวออกมา แต่ใช่ว่าจะมีการนำไปใช้กับสินค้าทุกอย่างหรือลูกค้าทุกคนได้เลย โดย Walmart กล่าวว่าเพื่อป้องกันลูกค้าใช้เป็นช่องทางในการหาผลประโยชน์ เช่น อาจไม่ได้ต้องการคืนสินค้าจริง แต่แจ้งว่าอยากส่งคืน เพื่อจะได้สินค้ามาใช้ฟรีๆ เป็นต้น จึงได้ตั้งเกณฑ์การพิจารณาขึ้นมา 3 ข้อ ได้แก่ 1. เป็นสินค้าที่คิดว่าไม่น่าจะขายต่อได้ 2. เป็นสินค้าที่หากรับคืนมาแล้วทำให้ต้องสูญเสียต้นทุนในการจัดการเท่ากับผลตอบแทนที่จะได้รับจากกำไรในการขาย จึงมักใช้กับสินค้าที่มีต้นทุนต่ำ และราคาไม่สูงมากจนเกินไป และ 3. ใช้กับลูกค้าที่มีประวัติการซื้อที่ดี เช่น เป็นลูกค้าประจำ, มียอดการสั่งซื้อที่ดี เป็นต้น

     ยกตัวอย่างเช่น Amazon ได้เสนอคืนเงินแก่ผู้ซื้อสำหรับสินค้าราคาไม่แพงหรือชิ้นใหญ่ เช่น เสื่อโยคะ และอาหารสุนัขมานานแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องส่งคืนสินค้า โดยลูกค้าของ Amazon จำนวนหนึ่งกล่าวว่าพวกเขาพอใจเมื่อบริษัทบอกให้พวกเขาเก็บของที่ไม่ต้องการเอาไว้ เช่น Dana Rich คุณแม่ลูกสองจากนิวยอร์ก กล่าวว่าเธอพยายามคืนโปรไบโอติกสำหรับลูกน้อยที่สั่งซื้อจากเว็บไซต์ซึ่งล่าช้ามาก จนเธอต้องไปซื้ออาหารเสริมที่ร้านค้าปลีกอื่นแทน

     Amazon บอกเธอว่าเธอไม่ต้องส่งสินค้ากลับ และยังออกเงินคืนให้เธอด้วย หรือ Andrew Schrage ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์การเงินส่วนบุคคล MoneyCrashers ได้กล่าวว่าเมื่อเร็วๆ นี้ Amazon ได้บอกให้เขาเก็บอาหารสุนัขราคา 25 ปอนด์ หลังจากที่เขาพยายามจะส่งคืน นอกจากนี้ยังคืนเงินสำหรับการซื้อ 22.68 ดอลลาร์ให้ด้วย ซึ่งทำให้เขามั่นใจกับการซื้อสินค้าในอนาคตมากขึ้นว่า หากจำเป็น หรือมีปัญหาอะไร เขาจะสามารถขอคืนสินค้าจากร้านค้าได้ในลักษณะที่เป็นมิตรต่อลูกค้า

สรุปกลยุทธ์คืนเงิน ไม่ต้องคืนสินค้า

  • ช้กับสินค้าที่มีมูลค่าไม่สูงมากเกินไป และไม่คิดว่าน่าจะนำไปขายต่อได้ง่าย

 

  • คำนวณแล้วไม่คุ้มกับที่จะรับคืน โดยมีค่าใช้จ่ายเทียบเท่าหรือมากกว่ากำไรที่จะได้รับ

 

  • ใช้กับลูกค้าประจำที่มีประวัติการซื้อที่ดี เพื่อป้องกันการทุจริต

 

ที่มา https://www.businessinsider.com/amazon-walmart-and-target-let-customers-keep-some-returns-2021-1?fbclid=IwAR1HnSJ0-u75D1infPBLu-RX18N0291KBEtFgE6oNzy2gGDblDI1vpTvXP4

https://www.cbsnews.com/news/amazon-walmart-returns-refund/

https://retailwire.com/discussion/retailers-gives-customers-refunds-and-tell-them-to-keep-items/

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: MARKETING

รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ปลุกความกลัวพลาด ที่ช่วยเร่งยอดขายโต

ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะอยากได้เสมอไป แต่ซื้อเพราะ ‘กลัวพลาด’ รู้จัก FOMO Marketing กลยุทธ์ต้นทุนต่ำที่ช่วยให้ SME ปิดการขายได้ไวขึ้น

รวมกับดักการตลาด ที่กำลัง “ฆ่า” SME แบบไม่รู้ตัว ดูวิธีรอดที่ทำได้ทันที

พาไปแกะทีละข้อ ว่าทำไม “สูตรยิงแอด” หรือ “สูตรทำคอนเทนต์” ที่เวิร์กกับคนอื่น ถึงไม่เวิร์กกับคุณ พร้อมชี้ทางออก ที่จะทำให้การสื่อสารแบรนด์กลับมา “เข้าเป้า” ได้จริง

Color Psychology: จิตวิทยาเรื่องสี ที่แบรนด์ใหญ่ใช้เพิ่มยอดขาย

สี…ก็เปลี่ยนยอดขายได้ ทำไม Facebook ใช้สีน้ำเงิน? ทำไม Chanel ถึงเลือกสีดำทอง? ทำไมฟาสต์ฟู้ดต้องสีแดง-เหลือง? คำตอบอยู่ที่ “Color Psychology” จิตวิทยาของสีที่แบรนด์ใหญ่ใช้สร้างกำไรมาแล้วทั่วโลก