เรียบเรียง : Nitta Su.
ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้ จากหลายปัจจัยแวดล้อมที่เข้ามารุมเร้า ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจต้องปรับตัวอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจอาหารที่มีผู้แข่งขันทั้งรายเล็ก รายใหญ่ แบรนด์นำเข้า และแบรนด์คู่แข่งในประเทศเอง ไปจนถึงกำลังซื้อเงินของผู้บริโภคเองที่ลดน้อยลงไป จากค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ทำอย่างไร? ให้ธุรกิจเติบโตไปต่อได้ แม้ยามเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ ชวนมาทำความรู้จักกับเทรนด์ใหม่ธุรกิจร้านอาหาร “Fast Fashion Food” กัน
Fast Fashion ในธุรกิจอาหาร คือ อะไร?
ปกติแล้ว “Fast Fashion” มักถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมแฟชั่น แปลตรงตัว คือ “แฟชั่นด่วน” หมายถึง การผลิตเสื้อผ้าออกมาในจำนวนมาก อย่างรวดเร็ว ด้วยต้นทุนต่ำ ซึ่งในความหมายของอุตสาหกรรมแฟชั่น คือ ความทันสมัย การเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเรื่อยๆ เพื่อให้ลูกค้าไม่เกิดความซ้ำซาก จำเจ เป็นการนำเสนอทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า จนเกิดค่านิยมในผู้บริโภคบางกลุ่มว่า ถ้าไม่อยากเป็นคนตกยุค เป็นคนทันสมัย ก็ต้องตามเทรนด์แฟชั่นให้ทัน แต่สำหรับในด้านสิ่งแวดล้อม Fast Fashion ถือว่ามีผลกระทบอย่างมาก ต่อการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง ไปจนถึงการก่อให้เกิดขยะอุตสาหกรรมแฟชั่นปริมาณมาก
สำหรับการนำคำว่า Fast Fashion มาใช้ในธุรกิจอาหาร หรือ “Fast Fashion Food” ก็คือ การนำนิยามของเทรนด์ฟาสต์แฟชั่นที่ต้องมีความแปลกใหม่ และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในราคาไม่สูงเกินไป สามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆ มาใช้กับการทำธุรกิจอาหาร โดยเน้นความหลากหลาย ราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ในวงกว้าง
‘รวยไม่หยุด กรุ๊ป’ ผู้นำเทรนด์ “Fast Fashion Food ในไทย
ผู้ที่เป็นผู้นำขึ้นมาพูดเป็นรายแรกๆ ในไทย ก็คือ “รวยไม่หยุด กรุ๊ป” เจ้าของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารชื่อดังย่านสยามสแควร์ อาทิ Nice two Meat u, Fire Tiger และในเครืออีกหลายธุรกิจ โดยมีเจ้าของ คือ เกศ” – ชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานบริหาร และ “แนท” – นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ ที่ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนจากการจับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง ถึงบน มาสู่ตลาดที่มีความแมสมากขึ้น
โดยเคยให้สัมภาษณ์กับหลายสำนักข่าวเอาไว้ว่า เหตุผลที่เปลี่ยนมาจับกลุ่มลูกค้า Mass มากขึ้น เพราะสภาพเศรษฐกิจที่มองว่าไม่ค่อยดีมาหลายปี บวกกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อลดลง ใช้จ่ายต่อบิลน้อยลง มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด แต่ขณะเดียวกันก็ยังอยากได้ทดลองประสบการณ์ใหม่ๆ อยากได้ตัวเลือกที่หลากหลาย โดยมองว่าหลายๆ ประเทศ อาทิ เกาหลี ก็เริ่มมีการเปิดแบรนด์ธุรกิจที่มีความแปลกใหม่ และหลายแบรนด์ให้เลือกมากขึ้น เป็น Fast Fashion ในธุรกิจอาหาร ซึ่งไม่ได้เน้นการขยายสาขาให้เยอะเหมือนแต่ก่อน และมีราคาย่อมเยาเข้าถึงได้ง่าย
ในปีนี้จึงได้ปรับโมเดลธุรกิจใหม่ โดยแทนที่จะเน้นกลุ่มลูกค้ากลาง ถึงบนเหมือนก่อน ก็หันมาตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Mass ให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าจะเปิดแบรนด์เพิ่มอีก 8 แบรนด์ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่กลุ่มตลาดแมส มีทั้งแบรนด์ที่สร้างขึ้นเอง และที่ซื้อแฟรนไชส์มา ตัวอย่างแบรนด์ที่เปิดตัวแล้ว ได้แก่ เกศเตี๋ยว - ก๋วยเตี๋ยวเรือ เริ่มต้น 29 บาท, ข้าวแกง & ปลาทู - ข้าวราดแกง เริ่มต้น 29 บาท และ เกศเตี๋ยวป๊อกป๊อก & ต้มยำ – บะหมี่ป๊อกป๊อก เริ่มที่ 39 บาท
บทสรุป
ดังนั้น Fast Fashion ในธุรกิจอาหาร ก็คือ โมเดลการทำธุรกิจที่เน้นการสร้างแบรนด์ใหม่ๆ แทนการเน้นขยายสาขาออกไปให้มากขึ้นแบบยุคก่อน เพื่อสร้างความหลากหลาย แปลกใหม่ ดึงดูดผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสการทำเงินให้กับธุรกิจ โดยแต่ละแบรนด์จะมีเพียง 1-2 สาขาเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนธุรกิจเดิม ซ้ำๆ และยังเป็นการสร้างเฉพาะพิเศษให้กับแบรดน์ด้วย
นอกจากนี้ยังมีราคาย่อมเยา เข้าถึงได้ง่าย สามารถกินได้ทุกวัน หรือมีทางเลือกทั้งถูกและแพงอยู่ในที่เดียวกัน ให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ เปรียบเหมือนกับ Fast Fashion ในธุรกิจแฟชั่น ที่ต้องมีความแปลกใหม่ รวดเร็ว และฉับไวอยู่เสมอ ในราคาสินค้าที่จับต้องได้ง่าย ไม่สูงเกินไป สามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆ
แนวคิด Fast Fashion ในธุรกิจอาหาร จึงนับได้ว่าเป็นวิธีการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจฝืดเคืองในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์, Marketing Oops
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี