Starting a Business
ATT จุดฝากของแนวใหม่ ยุคการค้าดิจิตอลบูม!
เรื่อง : เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ
ภาพ : กฤษฎา ศิลปไชย
คว้าโอกาสจากช่องว่างที่มองเห็น ด้วยบริการขนส่งรูปแบบใหม่ ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาด้านการขนส่งแบบเดิมๆ ของคนกรุงเทพฯ พร้อมตอบรับกับกระแสการค้าบนโลกออนไลน์ที่เติบโตอย่างมหาศาล คือ จุดเริ่มต้นของธุรกิจแนวใหม่นามว่า ATT ซึ่งเกิดจากไอเดียของกลุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรงทั้ง 4 คน อภิพัฒน์ เลิศฤทธิ์ศิริกุล, ธนวัฒน์ ไล้ทองคำ, อรชุลี วิศิษฐฎากุล และ ยศพัฒน์ สุทธิศาสนกุล ที่ได้มาพลิกโฉมการขนส่งตามแนว BTS อย่างสิ้นเชิง
“ที่มาของไอเดีย ATT มาจากตัวของเต็น (ธนวัฒน์) เองว่า เรานัดเจอกับเพื่อนบน BTS เพื่อจะส่งแค่ไฟล์ซีดี ซึ่งไม่ได้หนักไม่ได้มีราคาอะไรเลย แต่ไฟล์นั้นสำคัญ หันไปมองรอบตัวเห็นร้านชานมก็อยากจะฝาก แต่เขาไม่รับฝาก ตอนนั้นเราคิดว่าบน BTS น่าจะมีจุดรับฝากของเหมือนในต่างประเทศที่มีล็อกเกอร์ให้ เราก็เริ่มคุยกับน้องๆ ว่าคนกรุงเทพฯ มีความรีบเร่งในการส่งพัสดุ บริการตัวนี้น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกได้ เมื่อลองคุยแล้วเคมีตรงกัน เราก็เลยช่วยกันผลักดันระบบให้เกิดขึ้นจริง”
เมื่อมีไอเดียใหม่เกิดขึ้น เจ้าของกิจการบางคนอาจใจร้อนอยากรีบลงมือผลักดันไอเดียนั้นๆ ให้เป็นรูปเป็นร่าง แต่สำหรับทีม ATT Logistic กลับคิดต่าง หลังจากพวกเขาคิดแผนธุรกิจครบถ้วนแล้ว พวกเขาไม่รีบดำเนินการตามแผนทันที พวกเขาเลือกสำรวจตลาดและทำความเข้าใจพฤติกรรมของคนให้ถ่องแท้เสียก่อนเป็นระยะเวลาเกือบ 1 ปีเต็ม ซึ่งเวลาที่เสียไปทำให้เขาเข้าใจพฤติกรรมกลุ่มลูกค้าอย่างแตกฉาน
“เราใช้เวลาทำแบบทดสอบสืบค้นข้อมูลประมาณ 1 ปี เพื่อตอกย้ำสิ่งที่เราคิดว่าจริงไหม แผนธุรกิจที่เราคิดเสร็จเรียบร้อยพูดตรงๆ คือ การนั่งเทียน พอเราออกมาดูตลาดเราถอยตัวเองจากแผนธุรกิจ เราแทนตัวเองเป็นลูกค้าเราก็มองย้อนกลับไปว่าเราอยากจะมองเห็นบู๊ธมีหน้าตาหรือลักษณะดีไซน์ยังไง เราอยากได้รับการบริการแบบไหน” ธนวัฒน์ให้เหตุผลการตัดสินใจสำรวจตลาดก่อนลงมือทำ
“หลังจากนั้นเกิดการเปลี่ยนดีไซน์ยกใหญ่ ตอนแรกตัวกล่องเป็นสีดำสนิทและโลโก้เป็นสีส้มอย่างเดียวและตัวโลโก้เองก็ไม่ใช่หน้าตาแบบนี้ เราปรับกันใหม่หมดโดยเรามองว่าตัวโลโก้ต้องเป็นมิตรและดึงดูดความสนใจของคน” อภิพัฒน์ ผู้ดูแลด้านการออกแบบโลโก้กล่าวเสริม
หลังจากทดสอบตลาดจนตอกย้ำความมั่นใจ ทีม ATT ก็เริ่มผลักปั้นไอเดียให้เป็นรูปเป็นร่างแต่เนื่องจากโปรเจ็กต์นี้มีขนาดใหญ่ลำพังกำลังเล็กๆ ของทีมงานไม่อาจผลักดันให้กลายเป็นจริงได้ จึงต้องขอเข้าเป็นพันธมิตรกับทางองค์กรใหญ่ ตรงนี้เองที่ธนวัฒน์เน้นย้ำว่าเป็นจุดที่ทำให้ ATT เกิดขึ้นได้
“โปรเจ็กต์นี้ยากและท้าทายเพราะโครงการนี้เป็นเรื่องของความปลอดภัยใน BTS โดยเราต้องทำให้ BTS เชื่อมั่นและเห็นว่าบน BTS ควรมีบริการนี้ เมื่อเข้าไปคุยรายละเอียดผู้ใหญ่เห็นถึงความตั้งใจและเห็นความจำเป็นที่ต้องมีธุรกิจตัวนี้เพื่อรองรับการใช้งานของคน 2 ล้านกว่าคนที่ใช้ BTS”
ด้วยเหตุนี้เอง บริการจุดฝากพัสดุตามแนว BTS ที่เกิดขึ้น โดยที่ผ่านมาบ่อยครั้งเรามักจะเห็นภาพคนนัดส่งสินค้ากันตามสถานีรถไฟฟ้า โดยเฉพาะบรรดาพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ไม่มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง รวมถึงบุคคลทั่วไป นั่นคือโอกาสที่ ATT จะเข้าไป
“บริการของเราคือส่งพัสดุระหว่างสถานีรถไฟฟ้าโดยไม่ต้องเสียเวลารอ เราซอยรอบส่งสินค้าให้ด่วนทันใจ ประมาณ 3 รอบ เช้า บ่าย และเย็น เนื่องจาก ATT เป็นจุด Drop สินค้า ลูกค้าสามารถเลือกจุด Pick up ได้ ซึ่งบริการนี้เหมาะกับร้านออนไลน์มาก ซึ่งก็เป็นลูกค้าเป้าหมายหลักของเราด้วย สำหรับค่าบริการนั้น หากเป็นผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มความสะดวก เราจัดทำเป็นระบบสมาชิก โดยมีแพ็กเกจราคาให้เลือกตามความต้องการ ส่วนกลุ่มคนที่โดยสารรถไฟฟ้า ก็ถือเป็นลูกค้าเป้าหมายเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันอัตราส่วนผู้ใช้บริการทั้ง 2 กลุ่มนี้พอๆ กัน โดยค่าบริการจะเริ่มต้นที่ 25 บาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะทาง น้ำหนัก และความเร่งด่วนของลูกค้า” อรชุลีอธิบายในส่วนรายละเอียดของบริการ
ปัจจุบัน ATT มีจุดให้บริการทั้งสิ้น 6 สถานีด้วยกัน ได้แก่ ทองหล่อ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ช่องนนทรี หมอชิต อารีย์ และสนามกีฬาแห่งชาติ ด้วยความที่เป็นบริการใหม่แกะกล่องสำหรับคนไทย ทำให้ผู้ใช้ยังไม่คุ้นเคย จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความเข้าใจให้กลุ่มลูกค้า
“เราเปิดตัวครั้งแรกพร้อมกัน 4 สถานที่ คือทองหล่อ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ช่องนนทรี และหมอชิต เพราะเป็นจุดยุทธศาสตร์หลัก จากนั้นก็จะขยายเพิ่มมาเป็น 6 สถานี ตอนที่เปิดตัวใหม่ๆ ทีมของเรามีหน้าที่อธิบายสิ่งที่ยุ่งยากให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่าย โดยเริ่มจากการสื่อสารด้วยตัวเอง แต่ก็มีจุดอ่อนตรงกำลังของเราเล็กจึงไม่เพียงพอ เลยขอความช่วยเหลือจากแบรนด์ใหญ่ ซึ่งโชคดีที่แบรนด์ใหญ่ช่วยอนุเคราะห์ให้เราเป็นพันธมิตรด้วย โดยเราร่วมกับแกรมมี่ ช่วยเป็นจุดในการแลกคูปองทีวีดิจิตอล เพื่อสื่อสารให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น”
นอกจากบริการส่งพัสดุระหว่างสถานีรถไฟฟ้า ATT ยังมีบริการส่งสินค้าทั่วประเทศ โดยบริษัทจับมือกับบริษัทขนส่งมืออาชีพอย่าง “นิ่มซี่เส็ง” จึงมั่นใจได้ว่าสิ่งของที่ส่งจะถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยและรวดเร็วทันใจ แต่อย่างไรก็ดี ในช่วง 3 เดือนแรกของการเปิดให้บริการ ถือว่าเป็นช่วงที่มีอุปสรรคมากสุด ซึ่งปัญหาครั้งใหญ่ที่ทำให้ทีมต้องกลับมานั่งทบทวน คือ ความผิดพลาดในการส่งพัสดุของบริษัทขนส่งเจ้าเก่าก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นพันธมิตรกับนิ่มซี่เส็ง ซึ่งธนวัฒน์ ได้เล่าปัญหาที่ประสบพบเจอว่า
“ระยะแรกเราร่วมกับบริษัทขนส่งรายหนึ่งของหายบ่อยมาก โดยเราจะคอยรับโทรศัพท์เพื่อรับแจ้งปัญหาของลูกค้าด้วยตัวเอง ก็มีลูกค้าโทรศัพท์มาว่า เกิดเหตุของส่งผิดจังหวัด ไปส่งที่ที่อยู่ผู้ฝากและเอกสารอันนั้นเป็นพาสปอร์ต ผมกับคุณอ๋อ (อรชุลี) จึงขึ้นเครื่องบินไปกลางดึกเพื่อเอาของไปส่งให้ลูกค้าทันเวลา”
ตอนนี้ทีม ATT มั่นใจในระบบเต็มร้อยและตั้งเป้าหมายรับใช้กลุ่มผู้โดยสารรถไฟฟ้า 10 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน พร้อมวางแผนขยับขยายสาขาในอนาคต โดยเริ่มขยายให้ครอบคลุมสถานี BTS หลักๆ เช่น สยาม อโศก พญาไท และพุ่งเป้าขยายสู่ MRT รวมถึงในห้างสรรพสินค้าและหัวเมืองใหญ่ เพื่ออุดช่องว่างไม่ให้คู่แข่งตีตลาด
“จากไอเดียลอยๆ กลายสู่ธุรกิจจริงได้ เพราะทุกคนในทีมทุ่มเทและทำงานอย่างหนัก เราแชร์ความสามารถของแต่ละคนเพื่อเต็มเติมธุรกิจอย่างน้องเบนซ์ (อภิพัฒน์) จะดูแลด้านโลโก้และดีไซน์ คุณอั๋น (ยศพัฒน์) เป็นมือวางระบบ และสุดท้ายคุณอ๋อ (อรชุลี) จะช่วยบริหารภาพร่วม ช่วยดูแลรายละเอียดปลีกย่อยที่พวกเราในทีมมองข้าม ATT จะไม่มีวันนี้เลยถ้าขาดเธอ”
การกล่าวทิ้งท้ายของธนวัฒน์ช่วยตอกย้ำให้เห็นสายสัมพันธ์ฉันครอบครัวของ ATT ซึ่งจุดนี้เองจะเป็นพลังขับเคลื่อนให้บริษัทให้บรรลุเป้าหมายใหญ่ที่ตั้งไว้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ : www.facebook.com/attbangkok, www.attbangkok.com
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อความสำเร็จของธุรกิจเอสเอ็มอี (SME)