Starting a Business

คุยกับ นอย Daivo - ชวนากร บุญใส ถึงเรื่องราวของธุรกิจและชีวิตที่หักมุม

Text : รัชนี พันธ์รุ่งจิตติ 
Photo : กิจจา อภิชนรจเรข
 

 

Main Idea
 
 
  • จากเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปี ที่ออกจากบ้านหารายได้ด้วยการโพสต์ขายอุปกรณ์แต่งรถเล่นๆ ในเฟซบุ๊ก มาสู่การสร้างแบรนด์ท่อรถบิ๊กไบค์  Daivo ของตัวเอง แต่เมื่อธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว เขาจึงตัดสินใจทิ้งชีวิตนักศึกษามุ่งมาทำธุรกิจอย่างเดียว
 
  • ชีวิตของ ชวนากร บุญใส หรือ “นอย ไดโว่” ดูจะไปได้สวย แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันอีกครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนทำให้เขาเดินไม่ได้  
 
  • และนี่คือเรื่องราวชีวิตของ นอย ไดโว่ ที่มีทั้งขึ้นและลงจนตั้งตัวไม่ทัน
 
 
 

     หากเปรียบชีวิตของคนเราเป็นเหมือนเส้นกราฟก็คงจะไม่ผิด เพราะบางจังหวะเมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง คงไม่มีกราฟชีวิตของใครที่จะขึ้นไปได้ตลอดเวลาโดยไม่มีวันลง กราฟชีวิตของ ชวนากร บุญใส หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันดีในชื่อ “นอย ไดโว่” ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ในขณะที่กราฟชีวิตของเขากำลังไต่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จู่ๆ กลับดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน 


    จากเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปี ที่ออกจากบ้านหารายได้ด้วยการโพสต์ขายอุปกรณ์แต่งรถเล่นๆ ในเฟซบุ๊ก แต่กลับขายดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนนำมาสู่การสร้างแบรนด์ท่อรถบิ๊กไบค์  Daivo ของตัวเอง และการต้องตัดใจทิ้งชีวิตนักศึกษาก่อนเวลาอันควรเพื่อหวังเดินหน้าสร้างธุรกิจอย่างจริงจัง แต่แล้วชีวิตก็พลิกผันอีกครั้งเมื่อเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนทำให้เขาเดินไม่ได้ ชีวิตของเขาจึงมีทั้งสุขที่สุดและทุกข์อย่างแสนสาหัสคละเคล้ากันไป

 

     และนี่คือ...เรื่องราวการเดินทางของเขา           


คุณเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย

     ใช่ครับ เริ่มจากนอยทะเลาะกับแม่ คือนอยชอบบิ๊กไบค์แล้วแม่ก็ซื้อให้ตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ทีนี้ขี่ไปเรียนเกิดอุบัติเหตุ ตัวเราไม่เป็นอะไรแต่รถสภาพซ่อมไม่ได้เลย แม่เลยห้ามเด็ดขาดไม่ให้ขี่อีก แต่นอยยังอยากขี่อยู่เลยทะเลาะกัน มีคำพูดหนึ่งของแม่คือ “ลองไม่มีแม่สักวันจะอยู่อย่างไร” มันเป็นเหมือนคำท้าทาย อารมณ์วัยรุ่นด้วย เลยว่าเออ! เดี๋ยวจะทำให้ดูนะว่าอยู่ได้ ก็เลยออกจากบ้าน

     ซึ่งตอนออกจากบ้านก็ยังไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหน พอดีมีรุ่นพี่เขามีร้านขายอะไหล่แต่งรถ ก็ไปเล่าให้ฟังว่ามีปัญหากับที่บ้าน ผมขอเอาของในร้านมาถ่ายรูปแล้วขายได้ไหม เขาก็บอกได้เดี๋ยวพี่แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นเปิดเพจตั้งชื่อมั่วๆ ว่า Daivo Racing Shop คือตั้งขึ้นมาขำๆ ไดโว่ไหมชื่อตลกดี จำง่าย เอาของที่ร้านพี่เขามาขาย ถ่ายรูปลงเพจขาย อาทิตย์หนึ่งขายได้กำไร 500 บาท ก็รู้สึกว่าเฮ้ย! เรามีรายได้แล้ว พอผ่านไป 2 อาทิตย์ก็ขายได้เพิ่มเป็นพันบาท แล้วก็ขยับเป็นพันห้าต่ออาทิตย์ ซึ่งพันห้านี่เท่ากับเงินที่แม่ให้เลย ก็เลยถ่ายรูปลงเรื่อยๆ ออร์เดอร์ก็มากเรื่อยๆ เพจก็โตขึ้น ช่วงเวลาแค่ 2 เดือนขายได้เดือนละหมื่นห้า ทีนี้ก็เฮ้ย! มากกว่าที่แม่ให้อีก เท่ากับเงินเดือนของนักศึกษาจบใหม่เลย

     จริงๆ นอยเป็นคนชอบขายของอยู่แล้ว แต่ไม่เคยขายออนไลน์ ก่อนหน้านี้ก็จะไปรับของที่สำเพ็งแล้วก็เอามาขายที่ตลาดนัดจตุจักร ขายตั้งแต่จิวหูของผู้หญิง กระเป๋าเดินทาง สบู่ ครีม ฟิล์มกันรอยโทรศัพท์ ขายทุกอย่าง แต่ที่ทำมาคือเจ๊งหมดเลย เพราะว่าตอนนั้นเหมือนทำเล่นๆ ถ้าเจ๊งก็ขอเงินแม่ต่อ ทีนี้พอออกจากบ้านมันพลาดไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องลุย แต่นอยออกมาอยู่ข้างนอกได้แค่ 3-4 เดือน คิดถึงแม่ก็กลับไปอยู่บ้านใช้เงินแม่เหมือนเดิม เพจ Daivo Racing Shop ก็ไม่ได้แตะ แต่ปรากฏว่ายังมีคนทักเข้ามาเรื่อยๆ ก็เลยกลับไปขายต่อ แล้วทำต่อจนได้ทำท่อเป็นแบรนด์ของตัวเองชื่อ Daivo 
 




จากเพจขายของแต่งรถกลายมาเป็นท่อ Daivo ได้อย่างไร

     บิ๊กไบค์ส่วนใหญ่เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ต้องเปลี่ยนท่อเพราะว่าท่อเดิมมันเงียบมาก เวลาขี่เลนขวาจะแซงรถใหญ่ไม่ค่อยได้ยินเสียงรถเรา เขาจะปาดมาชนได้ ตอนนั้นมีคู่แข่งไม่เยอะ Daivo เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์ที่สอง ก็คิดแล้วว่ารูปทรงแบบนี้ถ้าทำออกมาต้องขายได้แน่ๆ เพราะเป็นทรงฮิตของต่างประเทศ แล้วเราทำในราคาที่จับต้องได้ ก็ไปติดต่อโรงงานเป็นโรงกลึงธรรมดาๆ เอาแบบให้ดูว่าแบบนี้ทำได้ไหม โรงกลึงก็ว่าไม่รู้เหมือนกันเดี๋ยวลองทำดูก่อน ตอนแรกนอยไม่รู้อะไรเลย แต่ได้ไปคลุกคลีกับช่าง ดูว่าประกอบอย่างไร มีชิ้นส่วนอะไรที่ต้องเอาเข้ามาจากต่างประเทศ เรียกว่าช่วยกันทำกับช่างจนรู้หมดทุกอย่าง แล้วเอาไปทดสอบบน Dyno Test ว่าวิ่งดีไหม พอวิ่งดีในระดับหนึ่งก็ทำออกมาขายออนไลน์บนเพจ Daivo Racing Shop ตอนนั้นยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 1 ทุกวันจะต้องแบกท่อใส่กระเป๋าใบใหญ่ไปเรียนด้วย เช้าไปเรียน เที่ยงไปไปรษณีย์ส่งของ บ่ายก็กลับมาเรียนต่อ
 

จากที่ขายเล่นๆ แล้วมาจริงจังเมื่อไหร่

     ตอนที่เริ่มเปิดเพจขายของ ก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะ แค่รู้สึกว่าเวลาที่นอยจะไปซื้อของแต่งรถไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน ก็เซิร์ชในกูเกิลแล้วมันก็ไปเด้งในเฟซบุ๊ก เลยคิดแค่ว่าถ้าเราขายในเฟซบุ๊กน่าจะขายได้ ไม่มีหลักการอะไรเลย แค่ถ่ายรูป โพสต์ ตอบลูกค้าส่งของแค่นั้น ซึ่งโชคดีมากเพราะเราเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำเพจขายของพวกนี้ ทีนี้พอมาทำท่อซึ่งเป็นแบรนด์ของเราเอง ก็เริ่มจริงจังมากขึ้นแต่ก็ยังไม่รู้เรื่องการทำการตลาดอะไร แค่โพสต์ขายของ ไปเอาของจากโรงงานมาแพคแล้วก็ส่ง แต่ด้วยความที่มันขายดีจากที่ใช้เวลาช่วงพักเที่ยงไปส่งของไม่พอแล้ว บางทีก็ต้องโดดเรียนไปส่งของ บางวันมีสอบแต่ถ้าไปส่งของได้เงิน 5,000 บาท ก็ชั่งใจอยู่เอาอย่างไรดี สุดท้ายก็เลือกไปส่งของเอาเงินก่อน แล้วกลับมาสอบไม่ทัน อาจารย์ก็ให้ F ทำแบบนี้ประจำ

     จากตอนแรกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ปี 1 มหาวิทยาลัยศรีปทุม ก็ต้องมาต่อปี 1 การตลาดที่ ม.ศรีปทุมใหม่ ทีนี้พอมีเงินนอยได้ซื้อรถของตัวเอง CBR 1000 ราคาตอนนั้นอยู่ที่ 6 แสนบาท แล้วทำท่อใส่ คนเลยยิ่งฮือฮาว่าท่อไทยสามารถใส่รถนี้ได้เลยเหรอ คนไม่รู้มาจากไหนทักมาเยอะมากทั้งยูทูบ เฟซบุ๊ก ตอนนั้นแหละที่เป็นช่วงที่บูมของ Daivo แต่ในเรื่องเรียนก็เป็นเรื่องแย่สำหรับนอยเพราะต้องย้ายมหาวิทยาลัยไปเรียนปี 1 การตลาดที่ ม.รังสิตอีกรอบ ตอนนั้นก็ตั้งใจนะว่าจะต้องจบจากที่นี่ให้ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่จบ เพราะเลือกที่จะทำงานมากกว่า ซึ่งปีนั้นเป็นปีที่บูมมากยอดขายเดือนละ 5 แสนบาท นอยตัดสินใจไปคุยกับพ่อ คือพ่อกับแม่หย่ากัน นอยอยู่กับแม่แต่พ่อเป็นคนส่งเรียนแล้วก็คอยดูแลอยู่ด้วย ก็คุยกับพ่อตรงๆ ว่า ป๊า นอยขายท่อได้เงินเท่านี้นะ ได้เยอะกว่าคนที่เรียนจบใหม่อีก คิดว่าถ้าทำตรงนี้ต่อไปน่าจะดีขึ้นไปอีก ขอไม่เรียนได้ไหม ป๊าบอกแล้วแต่เลย ที่บ้านนอยจะเลี้ยงลูกแบบให้เรียนรู้เอง ลองผิดลองถูกเอง พอผิดพลาดก็จะมาบอกว่าเห็นไหมถ้าเชื่อป๊าก็จบไปแล้ว พอตัดสินใจว่าไม่เรียน เลยมาคุยกับช่างคนเดิมว่า เราเปิดร้านกันดีกว่า เพราะมีลูกค้าที่เขาติดตั้งไม่เป็น ก็จะได้มาที่ร้านเรา พอเปิดร้านจากปกติตื่นเช้าไปเรียนก็มาร้านแทน ลูกค้าก็จะนัดคิวกันมาเลย เดือนหนึ่งก็มีรถเข้ามาติดท่อ 30-40 คัน

     ตอนนั้นอายุ 21 ปี การเปิดร้านไม่ได้ยากง่ายอะไรเลย เพราะว่าปกติก็ขายในเพจอยู่แล้ว แค่ลูกค้ามาติดตั้งหน้าร้าน ได้เจอลูกค้า ตอนนั้นหน้าร้านก็ไม่ได้ทำสวยเป็นหน้าร้านธรรมดาๆ มีช่างประมาณ 2 คนมาช่วย ช่างก็ยังวัยรุ่นเหมือนกัน ก็เลยคุยกันเข้าใจ ส่วนลูกค้ามาที่ร้านก็ทำให้ได้ดูรถนอยที่ใส่ท่อด้วย แรงม้าได้จริง เทียบกับท่อนอกวิ่งสู้กันได้จริง จากนั้นก็ลองทำช่อง youtube ของตัวเองดูบ้างเอาไว้รีวิว พอมีผลิตภัณฑ์ตัวไหน หรือลูกค้ามาติดตั้งก็จะถ่ายรูปแล้วก็รีวิวๆ พอคนมาเซิร์ชหาท่อเขาก็จะเจอ Daivo เลยทำให้คนรู้จักเราเยอะขึ้นไปอีก   
 




จากวันที่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ Daivo เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

     ถ้าพูดถึงตลาดมันเปลี่ยนไปเยอะมาก ตอนนี้ทุกไฟแดงจะต้องเห็นบิ๊กไบค์ ขับรถไปไหนต้องเจอบิ๊กไบค์ เพราะตอนนี้มันออกง่าย แต่ก่อนต้องซื้อสด หรือเงินดาวน์เยอะ เดี๋ยวนี้ดาวน์น้อย ฟรีดาวน์ก็มี ตลาดเลยใหญ่ขึ้น พอตลาดใหญ่ขึ้นความต้องการท่อก็มากขึ้น ตอนนี้เลยยิ่งเป็นโอกาส ก็มีการย้ายร้านจากดอนเมืองมาเปิดเองที่รัชดา 32 ตอนมาเปิดร้านใหม่ก็ต้องจริงจังมากขึ้น ต้องคิดมากขึ้นว่าจะทำอย่างไร จากแต่ก่อนขายเล่นๆ มีเงินอาทิตย์ละพันห้า ก็คิดว่ารวยแล้วมีเงิน กินซูชิได้แล้ว พอมาตอนนี้ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ทีมงานเยอะขึ้น มีทั้งแอดมิน บัญชี แผนกติดตั้ง แล้วก็เริ่มรู้จักการทำการตลาดคือ ต้องโปรโมต “แบรนด์ Daivo” มากกว่า “พี่นอย Daivo” ทำให้คนเชื่อใน Daivo ไม่ต้องมาเชื่อพี่นอย Daivo ตอนนั้นเลยทำช่อง youtube เริ่มทำคอนเทนต์เพื่อให้คนสนใจ เป็นสปอนเซอร์ทีมแข่ง ซึ่งพอได้ไปสนามแข่งมากๆ ได้ฟังจากนักแข่งว่ามันดีตรงไหน ตรงไหนต้องแก้ไข ก็เรียนรู้พัฒนามาเรื่อยๆ
 

ทำไมถึงจะต้องเป็นท่อ Daivo  

     ท่อ Daivo ทำจากวัสดุที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด ฉะนั้นการก๊อบปี้ก็ยาก วัสดุเราเป็นไทเทเนียมซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับท่อไอเสีย Formula 1 หรือท่อลำเลียงอาหาร ท่อส่งยาตามโรงพยาบาลที่ต้องสะอาด จะมีคุณสมบัติคือน้ำหนักเบากว่าท่อเดิม 2-3 เท่า แล้วระบายความร้อนเร็ว อายุการใช้งานนาน อัตราการเร่งดี แล้ววัสดุปลายท่อเป็น Pure Carbon ซึ่งเป็นวัสดุที่ทำโครงรถลัมโบร์กินีที่แข็งแรงทนความร้อนสูง ถ้าเป็นท่อทั่วไปซึ่งทำจากสเตนเลสจะมีโอกาสขึ้นสนิม น้ำหนักจะหนักกว่าเยอะมาก ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นท่อ Daivo การขับขี่รถจะง่ายขึ้นเพราะว่าน้ำหนักรถจะเบาขึ้นการเลี้ยวรถเทรถจะง่ายขึ้น

     ถ้าเทียบแบรนด์เมืองนอก จริงๆ ก็สู้ได้นะเพราะราคา Daivo แค่หมื่นต้นๆ เทียบกับแบรนด์นอกอย่าง Akrapovic เป็นท่อที่ใช้ในรถ MotoGP ถ้าเป็นอัตราเร่งเราสู้ได้ คุณภาพคือเขาดีกว่า แต่ก็ไม่ได้หนีไปไกล ราคาเราขายแค่หลักหมื่นต้นๆ แต่ของเขาหลักแสน ราคาต่างกัน 10 เท่า หรือถ้าเทียบกับแบรนด์นอกอื่นๆ ที่ขายกันอยู่ราคา 5-6 หมื่น แบรนด์ Daivo ก็สู้ได้
 




ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ว่าจะเรียนต่อหรือทำธุรกิจ ถ้าย้อนกลับไปนอยจะยังตัดสินใจแบบนี้ไหม


     จนมาถึงตอนนี้นอยก็คิดว่ามาถูกทางแล้ว การเรียนก็สำคัญแต่มาทำตรงนี้มันเหมือนได้ประสบการณ์ชีวิตและการเรียนรู้ไปด้วย นอยมีโอกาสเจอลูกค้าที่หลากหลาย ทุกคนมีความฝันแล้วมาเล่าให้ฟังเลยเหมือนเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ซ้ำ มีตั้งแต่คนขับไลน์แมน ขับวินมอเตอร์ไซค์ ทำเหมืองในทะเล อยู่บนดอย หรือบางคนเป็นยูทูบเบอร์ก็มาแนะนำว่าควรจะทำคอนเทนต์แบบไหน ทำสื่อแนวไหน เลยรู้สึกว่าการเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน ยิ่งตอนนี้เรามีอินเทอร์เน็ตอยากรู้อะไรก็เซิร์ซหาเอาได้ มันกว้างและเร็วมาก เราก็สามารถเรียนรู้ได้    
ดังนั้น สำหรับใครที่อยากทำธุรกิจ นอยแนะนำว่าถ้าอยากทำให้ลงมือทำเลย ทำอะไรก็ได้ อย่างนอยเจ๊งมาเป็น 10 อย่างกว่าจะมาจบที่ท่อ แค่คิดว่าอยากจะทำธุรกิจก็คือกำไรแล้ว แล้วถ้าลงมือทำ ทำแล้วดีให้ทำซ้ำ ทำครั้งแรกได้เงินพันหนึ่ง ทำซ้ำครั้งที่สองได้สองพัน ทำซ้ำไปเรื่อยๆ ก็จะได้เพิ่มไปเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ ยิ่งทำซ้ำก็ยิ่งเป็นประสบการณ์มากขึ้น 
              

นอกจากท่อคิดจะทำโปรดักต์อื่นๆ อีกไหม

     มาสายท่อเลย เราชำนาญด้านนี้ก็อยากจะทำด้านนี้ให้ดีที่สุด แต่จะไปอยู่บนรถอะไรแค่นั้นเอง อาจจะไปใส่รถซูเปอร์คาร์ก็ได้ อันนี้เป็นความตั้งใจว่าก่อนอายุ 30 ปีจะทำให้ได้ แล้วจะทำแบบเดียวกับบิ๊กไบค์คือ ทำใส่รถตัวเองแล้วก็ทดสอบ แล้วแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อยๆ จนมันดีเหมือนท่อบิ๊กไบค์ตอนนี้

     ส่วนในแง่การทำการตลาดก็อยากขยายไปต่างประเทศ ทุกวันนี้ก็มีมาซื้อเรื่อยๆ จากอินเดีย อเมริกา ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน แต่ยังไม่ยอะเท่าไหร่ เขาเจอเราผ่านทางยูทูบ แล้วก็สนใจติดต่อเข้ามาซื้อ ส่วนตลาดในประเทศ ตอนนี้มีตัวแทนจำหน่าย 20-30 จังหวัดแล้ว ก็อยากให้ครอบคลุมมากกว่านี้ แล้วค่อยคิดไปต่างประเทศจริงจัง
 

ดูแล้วทั้งชีวิตและธุรกิจก็เป็นขาขึ้นมาตลอด แล้วเกิดอะไรขึ้น

     จุดพลิกอยู่ตรงที่ผมเกิดอุบัติเหตุ หลังจากที่สนับสนุนทีมแข่งรถ ก็อยากขี่เอง มีความรู้สึกว่าตัวเองน่าจะขี่ได้ ทีแรกลองขี่รถคันที่ซื้อมาในสนามปรากฏว่ารถล้ม เราไม่รู้ทักษะที่แท้จริง จนทำให้รถพัง เครื่องกระจุยกระจายเลยเหลือแต่ล้อ แต่ไม่ถอดใจ เอาอีกคันมาขี่ก็เริ่มได้รางวัล ได้ถ้วยที่สองที่สาม แล้วพอเราแข่งเอาท่อเรามาใช้เอง ก็รู้เลยว่าตรงไหนมันไม่ดี พอมาทำทีมแข่งเอง Daivo Racing Team คือ มีนักแข่ง 2 คน คือผมกับน้องชาย ยิ่งทำให้คนรู้จัก Daivo มากขึ้น เป็นแบรนด์ไทยแบรนด์เดียวที่ทดสอบเองโดยเจ้าของแบรนด์ แข่งมาเรื่อยๆ ก็ชอบ ก็เลยขี่ในรุ่นที่ใหญ่ขึ้น จนมาเจอจุดพลิกที่ว่าเกิดอุบัติเหตุรถล้มแต่ล้มนอกสนามแข่งนะ กระดูกสันหลังหัก 3 ท่อน ละเอียด 1 ท่อน ซี่โครงหัก 4 ซี่ แล้วเส้นประสาทขาขาด 60 เปอร์เซ็นต์ คุณหมอบอกว่าอาจจะเดินไม่ได้ ก็ใจหายไปเลย ตอนนั้นครึ่งท่อนล่างขยับไม่ได้เลย ท้อมากๆ อายุแค่ 22 ปีเอง ไม่คิดอะไรเลย คิดจะตายอย่างเดียว อยู่ไม่ได้ถ้าเดินไม่ได้ แล้วมีผลกระทบต่อธุรกิจด้วย เพราะตัวนอยต้องนอนโรงพยาบาล 2 เดือน ไม่มีใครดูร้าน ธุรกิจทิ้งไว้ข้างหลังเลย สุดท้ายก็ต้องปิดร้านไปก่อน ตอนปิดร้านนี่ใจหายมากคือ ร้องไห้ คิดในใจ Daivo จะจบแล้วเหรอ เหมือนทุกอย่างถาโถมมาหมด เหมือนกระโดดขึ้นที่สูงอยู่ดีๆ กลับมาตกหน้าผาเร็วมาก

 



อะไรทำให้กลับมาสู้อีกครั้ง


     พอมันเริ่มผ่าน ณ จุดตรงนั้น กลับบ้านมาพักรักษาตัวทำกายภาพบำบัด เริ่มขยับขาได้ ก็เริ่มมีกำลังใจมากขึ้นว่ามือยังใช้ได้ ได้กำลังใจจากครอบครัว แฟนที่เฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมงไม่ห่างเลย เพราะเขากลัวเราคิดสั้น ถึงแม้จะปิดร้านไป แต่ก็ยังขายของทางเพจอยู่ สามารถตอบลูกค้าได้ ส่งของก็ให้ไลน์แมนทำ ทีนี้พอกลับมาทำเองเหมือนความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ คือทำให้รู้ข้อผิดพลาดเยอะขึ้น เช่น เมื่อก่อนเรามีแอดมินจัดการให้หมดเลย พอมาตอบเองคุยกับลูกค้าเองทำให้รู้เทคนิคการคุยกับลูกค้าว่าควรตอบอย่างไร สมมติแต่ก่อนลูกค้าถามว่ามีของรถรุ่นนี้ไหม แอดมินก็จะส่งรายละเอียดไปทีเดียวทั้งหมด ข้อมูล รูป ราคา ปรากฏว่าลูกค้าไม่อ่าน แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการตอบใหม่ ตอบสั้นๆ ว่า มีครับ ลูกค้าก็จะขอดูรูปหน่อยได้ไหม เราก็ส่งรูปไปให้ ขอราคาหน่อย ก็ค่อยส่งราคาให้ เหมือนมีการสนทนาระหว่างเรากับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งลูกค้าจะชอบเหมือนเราใส่ใจเขามากขึ้น เป็นกันเองมากขึ้น บางทีอาจจะแนะนำในสิ่งอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสินค้าก็ได้ เช่น บางคนก็ถามว่าควรใส่หมวกกันน็อกแบบไหนดี ถามอะไรมา เราตอบหมดเลย จากเดิมไม่เคยตอบเลย   

     หลังจากที่พักรักษาตัว 3 เดือน อาการดีขึ้น ขยับขาได้ อาบน้ำกินข้าวได้ ก็ไม่ท้อ ไม่คิดสั้น พอไม่กังวัลเรื่องขาก็มีแรงฮึดสู้เต็มที่ เดินหน้าอย่างเดียว กลับมาเปิดร้านใหม่ที่ลาดพร้าว วังหิน ซึ่งผลตอบรับดีมาก ลูกค้าเก่าที่เคยติดตั้งก็แวะมาเยี่ยมมาถามไถ่อาการ ครั้งนี้เลยทำเต็มที่มาก ยิ่งตอนนี้แม่ล้มละลายเป็นหนี้ 20 กว่าล้านบาท นอยก็ต้องกลายเป็นคนดูแลแม่แล้วก็หนี้ของแม่ด้วยก็ยิ่งต้องเต็มที่
 

อุบัติเหตุครั้งนี้เปลี่ยนมุมมองและวิธีคิดนอยอย่างไร

     ไม่รู้จะเชื่อหรือเปล่า ก่อนหน้านั้นนอยเป็นคนต้องดิ้นรน ต้องมีโน่นมีนี่ มีบิ๊กไบค์ของแต่งเทพๆ ต้องมี แต่ตอนนี้กลายเป็นไม่ต้องการอะไรเลย นอยพอใจแล้วกับการที่ตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แล้วก็มีคนชอบเหมือนเรา ตรงนี้เป็นความสุขแล้ว เป็นความสุขที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายว่าจะต้องเยอะหรือเปล่า หรือมีเงินเยอะหรือเปล่า แต่แค่นี้ก็พอใจแล้ว และถ้าดีกว่านี้ก็คือแฮปปี้     

     นอยเคยเขียนเอาไว้ว่า ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย คือเมื่อก่อนใช้ชีวิตวัยรุ่น เช้าทำงานบ่ายหาแล้วว่าเย็นนี้จะไปไหนต่อ บางทีก็ขี่รถไปอยุธยา ไปกินข้าวแล้วขี่กลับคืนนั้น บางทีก็ไปนครปฐม ไปภูทับเบิกขี่ไปแล้วขี่กลับ มันสนุก จะว่าคึกคะนองก็ไม่เชิง เพราะไม่ได้แข่งแว้นอะไรกันขนาดนั้น แต่ชอบขี่ชอบท่องเที่ยวมากกว่า ทุกครั้งที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็คิดเสมอว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพียงแต่เรารอดมาตลอด นี่คือบทเรียนที่ได้จากอุบัติเหตุครั้งนี้  
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup