Text: Neung Cch.
Photo: ฟาฟู่ปัง น้ำเต้าหู้เยาวราช สาขา ม.วลัยลักษณ์
กลางสมรภูมิธุรกิจอาหารที่แข่งขันดุเดือด มีผู้ประกอบการมากมายที่ล้มแล้วเลิกไป แต่ใครจะเชื่อว่า กิจการที่เริ่มต้นจาก “น้ำเต้าหู้ถุงละ 10 บาท” จะพาธุรกิจเล็กๆ ทะยานไกล จนเจ้าของถึงกับเอ่ยปากว่า นี่คือธุรกิจที่ทำให้เธอแจ้งเกิด
ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้มาจากสูตรลับเรื่องรสชาติอย่างเดียว แต่เกิดจาก “วิธีคิด” และ “การบริหาร” ที่ผสานพลังระหว่างความอดทนของแม่ กับการตลาดยุคใหม่ที่ลูกเข้ามาช่วยสานต่อ จนธุรกิจเติบโตเร็วเกินคาดในเวลาไม่กี่ปี
แล้วพวกเขามีเคล็ดลับอะไร ที่ทำให้ธุรกิจจากถุงละสิบบาทพุ่งสู่รายได้หลักล้านต่อเดือน? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกแนวคิด วิธีบริหาร และกลยุทธ์ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “ฟาฟู่ปัง” จากจังหวัดนครศรีธรรมราช
ยกระดับน้ำเต้าหู้ให้ไม่ธรรมดา
สิงห์เอก ฤดีสิทธิวัจน์ ทายาทน้ำเต้าหู้เล่าว่าแรงบันดาลใจของฟาฟู่ปังเริ่มจากเรื่องเล็กๆ วันหนึ่งพี่แม่ของเขาไปถามเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้ริมทางว่า “ทำไมไม่วางเก้าอี้ให้ลูกค้านั่งกินสบายๆ บ้าง” คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยากยุ่งยาก”
คำพูดสั้นๆ นั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยน แม่วัย 45 ปีจึงบอกตัวเองว่า “ถ้าไม่มีใครทำ ฉันจะทำ”
จากนั้นหัวใจของฟาฟู่ปังก็คือการนำเสนอน้ำเต้าหู้ในรูปแบบที่ต่างออกไป เธอสร้าง “น้ำเต้าหู้สเลอปี้” ที่ปั่นราดโดยไม่ใส่น้ำแข็ง ราคาเริ่มต้นเพียง 10–15 บาท แต่รสชาติเข้มข้น ไม่จืดแม้เวลาผ่านไป ลูกค้าติดใจจนกลายเป็นเมนูหลักของร้าน
ไม่เพียงเท่านั้น พี่กายังเพิ่มเมนู ข้าวขาหมู และก๋วยจั๋บ เพื่อให้ลูกค้ามากินที่เดียวจบกลับมาทานได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ และนี่คือกลยุทธ์ที่ทำให้ฟาฟู่ปังสร้างฐานลูกค้าประจำได้อย่างเหนียวแน่นตั้งแต่เปิดร้านวันแรก
ยิ่งใกล้ลูกค้ายิ่งใกล้ความสำเร็จ
การเลือกทำเลคือหนึ่งในกุญแจความสำเร็จของฟาฟู่ปัง จากร้านแรกในเมืองท่าศาลาที่ทำยอดวันละ 2 หมื่นบาท ลูกค้าแน่นจนที่นั่งไม่พอ เจ้าของร้านจึงตัดสินใจย้ายร้านไปหน้ามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักศึกษา กลุ่มเป้าหมายหลัก ส่งผลให้ยอดขายพุ่ง 3 เท่า บางวันสูงถึง 9 หมื่นบาท
“เด็กไม่ต้องขับรถออกมา เราจะไปหาที่เด็กอยู่” เธอกล่าวการเลือกทำเลที่ใกล้ชิดกลุ่มเป้าหมายช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงร้าน และการตกแต่งร้านสไตล์เยาวราชด้วยแสงไฟและบรรยากาศที่ทันสมัย ทำให้ร้านกลายเป็นจุดเช็คอินที่ดึงดูดนักศึกษาให้ถ่ายรูปและแชร์ลงโซเชียลมีเดีย อีกหนึ่งจุดแข็งคือการเปิดให้บริการถึงตีสอง เพื่อรองรับนักศึกษาที่อ่านหนังสือดึกหรือทำรายงานจนค่ำ ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายรอบดึกและทำให้ร้านคึกคักตลอดวัน
จัดการให้ไวบริหารให้เป๊ะ
จากประสบการณ์จดออร์เดอร์แบบแมนวล วันที่ลูกค้าแน่น โต๊ะเต็ม ปัญหาผิดพลาดและความล่าช้าเกิดขึ้นเสมอ ฟาฟู่ปังจึงเลือกลงทุนใน POS จาก FoodStory และ Wongnai เพื่อจัดการออร์เดอร์จากกว่า 70 โต๊ะได้อย่างแม่นยำ
“ต่อให้ร้านเต็ม ภายใน 10 นาที อาหารถึงโต๊ะ” เธอย้ำ
แต่แค่ระบบออร์เดอร์อย่างเดียวไม่พอ หากครัวไม่รองรับ ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี ฟาฟู่ปังจึงออกแบบระบบครัวใหม่ให้สอดรับกับความเร็วการเสิร์ฟ
หัวใจคือการ แยกครัว 5 โซน ได้แก่ สเต็ก ราเม็ง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว และขนมหวาน พร้อมเครื่องพิมพ์ออร์เดอร์เฉพาะแต่ละครัว ลดความผิดพลาด เพิ่มความเร็ว จนร้านรองรับลูกค้าจำนวนมากได้อย่างราบรื่น
อีกกลยุทธ์คือการสร้าง ครัวกลาง สำหรับผลิตน้ำเต้าหู้ ซอส และน้ำจิ้ม เช่น น้ำสุกี้และซอสผัด รวมถึงควบคุมสูตรคุณยายอย่างหมูกรอบและหมูแดงให้อร่อยเสมอทุกจาน ไม่ว่าลูกค้าจะมากี่ครั้ง ก็ได้รสชาติคงที่ทุกครั้ง
“การลงทุนเรื่องระบบแม้จะต้นทุนสูง แต่ผลลัพธ์ระยะยาวคุ้มค่า ลดความเสี่ยงเรื่องเงินรั่ว” เธอสรุป
การตลาดยุคใหม่ อร่อยอย่างเดียวไม่พอ
ต่อให้รสชาติอร่อยแค่ไหนก็ไม่พอ ถ้าร้านไม่มีลูกค้าใหม่ ร้านก็คงโตลำบาก จุดเปลี่ยนสำคัญของฟาฟู่ปัง มาจากการที่ “ลูกชายสองคน” เข้ามาดูแลการตลาดผ่าน TikTok จากที่พี่กาทำคอนเทนต์ได้ยอดวิวหลักร้อย ลูกกลับปั้นยอดวิวแตะหลักแสนในเวลาไม่นาน “แต่ลูกชายคนโตก็มีงานประจำ ต้องแอบขอร้องให้เขาช่วยทำคอนเทนต์ให้บ่อยขึ้น” เธอเล่าพร้อมรอยยิ้ม
คอนเทนต์สนุกๆ และเรื่องราวเบื้องหลังร้าน บวกกับบรรยากาศที่ถ่ายรูปสวย ทำให้คลิปกลายเป็นไวรัล ดึงดูดคนอยากมาลองชิม เมื่อได้สัมผัสทั้งรสชาติและการบริการที่เป็นกันเอง ลูกค้ายิ่งอยากแชร์ประสบการณ์ต่อบนโซเชียล
“การตลาดคือตัวชี้วัด ต่อให้อร่อยแค่ไหน ถ้าไม่มีใครรู้จักก็ยาก” พี่กากล่าว และนี่คือบทพิสูจน์ว่า การตลาดที่ “ใช่” สามารถขับเคลื่อนร้านเล็กๆ ให้ดังได้ในเวลาไม่นาน
นอกจากลูกค้าที่มาหน้าร้านแล้ว ฟาฟู่ปังยังเปิดขายออนไลน์ผ่าน LINE MAN ซึ่งสร้างรายได้เฉลี่ยวันละกว่า 10,000 บาท เสริมรายได้โดยไม่ต้องพึ่งการนั่งกินที่ร้านเพียงอย่างเดียว
คุณภาพ การบริการ และพนักงานที่รู้ใจ
ฟาฟู่ปังมีทีมงานกว่า 25 คนที่ช่วยกันดูแลทั้งหน้าร้านและครัว เพื่อให้การบริการรวดเร็วและมีคุณภาพสม่ำเสมอเพราะเข้าใจดีว่านักศึกษาส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเข้าครัว ฟาฟู่ปังจึงออกแบบเมนูให้หลากหลาย ไม่จำเจ และยังคงใส่ใจในคุณภาพทุกจาน ทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบอย่างดี “สเต็กหมูสันคอ 240 กรัม ราคาเพียง 139 บาท แต่รสชาติเทียบเท่าโรงแรม” เธอยกตัวอย่าง พร้อมเสริมว่าทุกจานต้องใช้เนยแท้และวิปปิ้งครีมคุณภาพสูง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึก “ว้าว” ทุกครั้งที่กิน การตั้งราคาสูงกว่าตลาดเล็กน้อย (ราว 10–30 บาท) กลายเป็นจุดต่างสำคัญ เพราะลูกค้าได้คุณภาพเกินคาด แทนที่จะถูกลดต้นทุนเหมือนบางร้าน
ด้านการบริการ พี่กาย้ำกับทีมงานเสมอว่า “ลูกค้ามาก่อน ต้องยิ้ม สวัสดี และเชิญทุกคน ไม่ใส่ใจไม่เอา” บรรยากาศที่เป็นมิตรนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกอบอุ่นเหมือนถูกต้อนรับทุกครั้งที่มาเยือน และเบื้องหลังรอยยิ้มเหล่านั้น คือการดูแลพนักงานด้วยใจ โดยเฉพาะแรงงานพม่าที่ได้รับค่าจ้างวันละ 350 บาท พร้อมที่พักและอาหารสามมื้อ “ดูแลลูกน้องดี เขาก็ทำงานออกมาดี” เธอกล่าว นี่คือเหตุผลที่ทำให้ทีมงานอยู่กับร้านอย่างเหนียวแน่น
การปรับตัวเมื่อเจอคู่แข่ง
เมื่อจำนวนร้านอาหารในมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้น และบางร้านเลือกตีตลาดด้วยราคาถูก (เช่น ยำจานละ 25 บาท เทียบกับของฟาฟู่ปัง 50–60 บาท) ยอดขายของร้านเคยตกลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ฟาฟู่ปังเลือกไม่แข่งที่ราคา เธอตัดสินใจเพิ่มเมนูใหม่อย่างสเต็กและราเม็ง พร้อมปรับการตลาดให้เข้มข้นขึ้น
“ถ้าเพื่อนวิ่งมาทางนี้ เราก็วิ่งไปอีกทาง อยู่กับที่ไม่ได้ตาย” เขากล่าว กลยุทธ์นี้ช่วยให้ร้านกลับมาคึกคัก ยอดขายพุ่งขึ้นอีกครั้งในเทอมถัดมา
เมื่อธุรกิจกลับมาเติบโต ฟาฟู่ปังวางแผนขยายสาขาไปหาดใหญ่ โดยยังคงเลือกทำเลในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก แต่สิ่งที่เธอระมัดระวังคือการรักษามาตรฐานรสชาติ “กลัวรสชาติไม่เหมือนเดิม” เธอสารภาพ ปัจจุบันพี่กากำลังพัฒนาระบบครัวกลางและลงเรียนคอร์สบริหารจัดการ เพื่อให้การขยายสาขาเป็นไปอย่างยั่งยืน
ล้มแล้วต้องลุก: พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
ช่วงโควิด-19 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ธุรกิจเต็นท์รถของครอบครัวที่เคยรุ่งเรืองด้วยยอดขายเดือนละสิบคันต้องหยุดชะงัก เมื่อรัฐบาลปรับนโยบายและตัดงบโครงสร้างพื้นฐาน “ทุกอย่างเบาหมด ตายแน่” เธอย้อนถึงช่วงมืดมิดนั้น
แต่แทนที่จะยอมแพ้ แม่ยอดนักสู้เลือกหาทางใหม่ เธอเริ่มจากขายเสื้อผ้าออนไลน์ สั่งของจากประตูน้ำมาลองขาย “ซื้อแพง ขายถูก ขาดทุนก็ไม่เป็นไร” เธอยอมเสี่ยงเพื่อเรียนรู้ จากเสื้อผ้าเพียง 5–10 ตัว ธุรกิจโตถึงวันละ 500 ออร์เดอร์ในช่วงที่รัฐบาลแจกเงิน 7,000 บาท แต่เมื่อกระแสไลฟ์สดและสงครามราคาถาโถมเข้ามา เธอลงสต็อกเป็นล้านจนต้องหยุดอีกครั้ง
แต่ไม่ได้หยุดที่จะสู้ เธอลองขายไตปลาแห้งแต่ก็ไม่รุ่ง จนที่สุดหันกลับมาทำสิ่งที่ครอบครัวถนัดและรักน้ำเต้าหู้ แม้คนรอบตัวจะคัดค้านว่า “น้ำเต้าหู้จะไปรอดได้ยังไง?” แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ เธอลงมือทำ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “ฟาฟู่ปัง” ร้านที่กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของชีวิต
จากน้ำเต้าหู้ถุงละ 10 บาท สู่รายได้หลักล้านต่อเดือน ฟาฟู่ปังพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าธุรกิจจะเริ่มต้นเล็กแค่ไหน หากทำด้วยหัวใจและไม่หยุดพัฒนา ก็สามารถเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด
www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี