ขายยาหม่องแบบไหน ให้ติดตลาด CLMV และเป็นเบอร์ 1 ในสปป.ลาว

TEXT : กองบรรณาธิการ
 
 
 
 
Main Idea


เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ “สมุนไพรวังพรม”
 
  • เริ่มต้นจากแผงขายยาหน้าวัดไร่ขิง จ.นครปฐม เมื่อ 25 ปีก่อน
 
  • ผู้ให้กำเนิดยาหม่องสมุนไพรเสลดพังพอน สีเขียวมรกต และยาหม่องสมุนไพรสูตรไพล สีเหลือง
 
  • เป็น 1 ใน 5 ผู้นำตลาดยาหม่องในประเทศไทย
 
  • ปัจจุบันส่งขายไปทั่วประเทศ ส่งออกไป CLMV เกาหลีใต้ และรัสเซีย
 
  • ขายดีอันดับ 1 ในลาว ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แซงหน้าโลคัลแบรนด์
 
  • เดินหน้าทำตลาดในเมียนมาร์และกัมพูชา ตั้งเป้าเติบโต 8-10 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2565
 
 


     ในช่วงเวลาที่หลายธุรกิจต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตโควิด-19 จนทำให้กิจการต้องหยุดชะงัก แต่ “สมุนไพรวังพรม”
ยาหม่องสมุนไพรไทยจาก จ.นครปฐม กลับยังประคับประคองตัวเอง จนสามารถผ่านวิกฤตมาได้ โดยมียอดขายในประเทศเติบโตขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ และขยับเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในสปป.ลาว โดยกินส่วนแบ่งตลาดอยู่กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แซงหน้าแบรนด์เจ้าถิ่นเป็นที่เรียบร้อย


     ความสำเร็จนี้ เกิดจากการเดินเกมอย่างมีกลยุทธ์ มาดูกันว่าพวกเขาทำอย่างไร
 



 
จากสยามขยายฐานสู่ CLMV


     หลังการเข้ามาช่วยบริหารของทายาทรุ่น 2 “สมุนไพรวังพรม” เริ่มเดินหน้าขยายตลาดไปต่างประเทศ โดยมุ่งไปที่กลุ่มประเทศ CLMV เป็นหลัก ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ที่เริ่มจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นมีไลฟ์สไตล์ไม่ต่างจากคนไทย โดย “วัชรีภรณ์ วังพรม” กรรมการบริหาร บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด ยกตัวอย่าง สปป.ลาว ที่มีความชื่นชอบในผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นทุนเดิม และมีไลฟ์สไตล์การใช้ผลิตภัณฑ์ทาถูบรรเทาอาการและนวดผ่อนคลายคล้ายกับคนไทยอยู่แล้ว ทำให้ “ยาหม่องสมุนไพรเสลดพังพอน” และยาหมองสมุนไพรไทยสูตรอื่นๆ ของวังพรม เป็นที่ชื่นชอบและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก


     โดยล่าสุดในปี 2562 ที่ผ่านมา วังพรมสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากปี 2561 อีกทั้งยังครองส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 กินแชร์อยู่ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มตลาดยาหม่องของประเทศลาว แซงหน้ายาหม่องโลคอลแบรนด์ของเจ้าถิ่นได้เป็นครั้งแรก
              




     กลยุทธ์ในระยะที่สอง พวกเขาเร่งผลักดันการทำตลาดไปสู่เมียนมาร์และกัมพูชา ที่ยังมีโอกาสเติบโตไปต่างกัน โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้โตได้ที่ 8-10 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2565
 
 
               กลยุทธ์ปั้นแบรนด์สมุนไพรไทยให้ติดตลาด
              

     แนวคิดการปั้นแบรนด์แบบวังพรมที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ยาหม่องบ้านๆ  กลายเป็นสินค้ายอดนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศขึ้นมาได้นั้น พวกเขาใช้กลยุทธ์ดังนี้
              

     1.พลิกเกมการตลาด เข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่


     สมุนไพรวังพรมมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 6 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มยาดม กลุ่มยาสมุนไพร กลุ่มยาแคปซูล กลุ่มของใช้ส่วนตัว กลุ่มของชำร่วย และกลุ่มยาสำหรับนวด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุด  และจากตลาดเดิมที่มีอยู่ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น พวกเขาจึงเน้นขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสนใจผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ โดยการเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และการจัดโปรโมชั่น ควบคู่ไปกับช่องทางจัดจำหน่ายหน้าร้านสมุนไพรวังพรมและร้านค้าชั้นนำที่มีอยู่เดิม
              




     2.ยกระดับภาพลักษณ์แบรนด์


     มีการสร้างแบรนด์สมุนไพรไทยที่เชื่อมโยงไปกับภูมิปัญญาและการนวดไทยอันเป็นเอกลักษณ์และได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษย์ ซึ่งการเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์เข้ากับเรื่องราวและคุณค่าที่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศอย่างแพร่หลายนี้ ช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้ก้าวสู่ระดับสากลได้โดยง่าย ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สมุนไพรวังพรม ไม่เพียงได้รับการยอมรับในกลุ่มประเทศ CLMV เท่านั้น แต่ยังไปไกลถึงกลุ่มประเทศในแถบยุโรปอีกด้วย
 

     3. เตรียมความพร้อมด้านกำลังการผลิต



     การทำตลาดต่างประเทศ ต้องมีสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีกำลังการผลิตที่เพียงพอ วังพรมจึงได้ก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ภายใต้มาตรฐาน GMP PIC/S อันเป็นมาตรฐานการผลิตยาของประเทศในสหภาพยุโรป มาตรฐานเดียวกับโรงงานผลิตยาสามัญ เช่น พาราเซตามอล ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่มีเป้าหมายปรับปรุงมาตรฐานการผลิต ของผู้ผลิตยาแผนโบราณขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงผู้ผลิตที่ผลิตยาในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำในประเทศ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการภายในปี 2564 นี้อีกด้วย
 



 
พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
              

     แม้จะประคับประคองให้ธุรกิจเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังการมาถึงของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สมุนไพรวังพรม ก็เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ โดยต้องหยุดไลน์การผลิตและปิดโรงงานลงชั่วคราว เนื่องจากผู้บริโภคชะลอการซื้อกะทันหัน จนส่งผลต่อยอดขายทั้งในและต่างประเทศ ในขณะเดียวกันธุรกิจนวดไทยซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของวังพรม จำเป็นต้องหยุดให้บริการตามนโยบายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงทำให้ยอดขายโดยรวมในช่วงล็อกดาวน์ต้องชะงักงันลง


     แต่การปรับตัวอย่างรวดเร็ว โดยยอมรับความเปลี่ยนแปลงและพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาอยู่เสมอ ทำให้เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ในช่วงเดือนกรกฎาคม และ สิงหาคม ที่ผ่านมา ตลาดต่างๆ ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรวังพรม เริ่มกลับมามีคำสั่งซื้อและมีแนวโน้มปรับขยายตัวต่อเนื่อง โดยคิดเป็นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์  จากช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก ขณะที่ ณ ขณะนี้โรงงานยังเดินสายพานการผลิตอย่างเต็มกำลัง และเพิ่มโอทีพนักงาน 100 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งพวกเขาคาดว่าหากยอดคำสั่งซื้อเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในสิ้นปี 2563 สมุนไพรวังพรมจะประคองสถานการณ์ให้ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตไปได้ และมียอดขายตามเป้าหมายที่พวกเขาวางไว้
              




     นี่คือ ตัวอย่างของแบรนด์ไทย ที่เริ่มจากตลาดบ้านๆ จนสามารถยกระดับไปเติบโตในต่างประเทศ แถมยังครองเจ้าตลาดในบางประเทศได้เสียด้วย ซึ่ง SME ที่พร้อมปรับตัว และเดินเกมธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ ก็สามารถประสบความสำเร็จอย่างนี้ได้
 


www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

Erabica Coffee ผู้ปักหมุด กาแฟน่าน ให้เป็นที่รู้จักระดับประเทศ

นี่คือสองสามีภรรยา ที่อยากมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่น่าน คิดสร้างแบรนด์กาแฟของตัวเองขึ้นมาในชื่อ Erabica (เอราบิก้า) กลายเป็นการยกระดับกาแฟน่านเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น

HEH ร้านอาหารย่านภูเก็ต เชฟใช้เวลาในครัวให้เหมือนอยู่ในสนามแข่ง ไม่อยากเป็นแค่ Just Another Restaurant

“HEH (เห)” ร้านอาหารสไตล์  Australian Contemporary กลางเมืองภูเก็ต สร้างเมนูอาหารให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะไม่อยากเป็นเพียง แค่ร้านอาหารร้านหนึ่ง

จงปังนมสด ร้านดังแห่งสุราษฎร์ธานี แจ้งเกิดเพราะแบรนด์ดิ้ง และไอเดียทำคอนเทนต์จนเป็นไวรัล

"จงปังนมสด" ร้านดังเมืองสุราษฎร์ธานี ที่กำลังโด่งเป็นไวรัลขณะนี้ จากคลิปตัดต่อที่นำเสียงของเจ้าของเจ้าของร้านขนมปังชื่อดังย่านกทม. อย่าง "มนต์นมสด" มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจ