5 เรื่องน่ารู้ก่อนทำคาร์บอนเครดิต Standard T-VER กับ Premium T-VER มาตรฐานแบบไหนที่เหมาะกับเอสเอ็มอี?

TEXT : สุภาวดี ใหม่สุวรรณ

     อย่างที่รู้กันว่า โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) เป็นกลไกเดียวที่ให้การรับรองคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. แต่ปัจจุบันมีการพัฒนา Premium T-VER ขึ้นมาอีกระดับ เราสรุป 5 ประเด็นสำคัญมาให้ว่ามาตรฐาน T-VER ที่มีอยู่เดิมกับ Premium T-VER มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจสำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการจัดทำคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER

     1.มาตรฐาน T-VER ดั้งเดิมพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2557 ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Standard T-VER เพราะมีการพัฒนา Premium T-VER ซึ่งมีความเข้มข้นในการดำเนินการมากกว่า คาร์บอนเครดิตมีคุณภาพสูงกว่า ทำให้โครงการ T-VER ในปัจจุบันมี 2 รูปแบบให้เลือกดำเนินการคือแบบ Standard และ Premium

     2.คาร์บอนเครดิตของ Premium T-VER มีคุณภาพสูงกว่า Standard T-VER เริ่มตั้งแต่การคำนวณ ถ้าเป็นแบบ Standard จะเทียบกับการดำเนินงานปกติ เช่น กรณียานยนต์ไฟฟ้าจะเทียบจากเชื้อเพลิงที่รถคันเดิมใช้ เช่น เบนซิน ดีเซล ถ้าเป็นแบบ Premium จะเทียบกับสิ่งที่ดีกว่าปกติ กรณีนี้คือเทียบกับเชื้อเพลิงที่สะอาดที่สุด เช่น ก๊าซธรรมชาติ เพราะปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำสุดในบรรดาเชื้อเพลิงฟอสซิล คาร์บอนเครดิตที่จะเกิดจากโครงการ Premium T-VER จึงมีแนวโน้มว่าจะน้อยกว่าแบบ Standard แต่คุณภาพสูงกว่า

     3.Standard T-VER พัฒนาขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้มีการดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยมากๆ โดยมีผลพลอยได้เป็นคาร์บอนเครดิต ดังนั้น ไม่ว่าโครงการเก่าหรือใหม่สามารถทำเข้าร่วมโครงการ Standard T-VER ได้หมด เพียงแต่โครงการเก่าที่ดำเนินการมาแล้วจะต้องไม่เกิน 3 ปี นับจากวันที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้ประเมินภายนอก

     ถ้าเป็น Premium T-VER ต้องเป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่เริ่มดำเนินงานเท่านั้น และที่สำคัญต้องสนใจสังคมรอบข้าง โดยต้องจัดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียโดยรอบโครงการ จากนั้นส่งเอกสารให้ อบก. เพื่อรับฟังความเห็นของสาธารณะบนเว็บไซต์ หากมีข้อกังวลใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ผู้ยื่นขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตจะต้องแสดงแนวทางป้องกันผลกระทบเชิงลบและการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในเอกสารข้อเสนอ

     4.สำหรับระยะเวลาคิดเครดิต ถ้าเป็น Standard T-VER อายุโครงการทั่วไป 7 ปี (ต่ออายุได้ 1 ครั้ง) อายุโครงการป่าไม้ 10 ปี (ต่ออายุได้ไม่จำกัด) และอายุโครงการเกษตร 7 ปี (ต่ออายุได้ไม่จำกัด) ส่วน Premium T-VER อายุโครงการทั่วไปลดเหลือ 5 ปี (ต่ออายุได้ 2 ครั้ง) ส่วนอายุโครงการภาคป่าไม้เพิ่มเป็น 15 ปี (ต่ออายุได้ 2 ครั้ง)

     5.กรณีการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ทั้ง Standard T-VER และ Premium T-VER สามารถซื้อขายได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งแบบ OTC และบนแพลตฟอร์ม FTIX แต่ Premium T-VER จะพิเศษกว่าตรงที่สามารถนำเครดิตไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศได้ เช่น โครงการ EV Bus ของ EA ที่ขายเครดิตให้กับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จะต้องมีหนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตจากประเทศต้นทางด้วย

“ถามว่าควรทำมาตรฐานแบบ Standard หรือ Premium เอสเอ็มอีต้องดูว่าเรามีกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกอะไร เริ่มดำเนินการแล้วหรือยัง ถ้าเริ่มแล้วตัด Premium ออกเลย ถ้ายังก็สามารถไปได้ทั้ง 2 ทาง ถามว่าต้องการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ใด ผู้ซื้อของท่านต้องการคุณภาพเครดิตอย่างไร คำตอบที่ได้จะช่วยท่านเลือกมาตรฐานได้ถูกและง่ายขึ้น”

ดร.ปราณี หนูทองแก้ว ผู้จัดการสำนักรับรองคาร์บอนเครดิต อบก.

งานสัมมนา The Business Game Changer : เมกะเทรนด์ขับเคลื่อน SME สู่ความยั่งยืน

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจเอสเอ็มอี

RECCOMMEND: ENTREPRENEUR

Nyana Nyana Eco Fashion อดีตสถาปนิกนักสู้มะเร็ง สู่เจ้าของแบรนด์แฟชั่นออร์แกนิก เป็นมิตรต่อผู้สวมใส่ และสิ่งแวดล้อม

Nyana Nyana Eco Fashion แบรนด์แฟชั่นของอดีตสถาปนิกหญิงสิงคโปร์ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้พบว่าป่วยเป็นมะเร็ง แต่ “Clara Simanjuntak” กลับใช้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต ทำสิ่งดีๆ รวมถึงการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าจากผ้าออร์แกนิก

บ้านโอบอุ่น ธุรกิจเล็กๆ ของนักศึกษาพยาบาล ที่ทำให้คนแปลกหน้ากลายเป็นเพื่อนกัน

พาไปรู้จักบ้านโอบอุ่น ธุรกิจโฮมสเตย์เล็กๆ ที่ปลูกขึ้นกลางทุ่ง ของ อั้ม-พัชราภา อ่ำปั้นนักศึกษาพยาบาล ที่นั่งรถไฟจากพิษณุโลกไปเชียงดาวทุกสัปดาห์เพื่อมาทำโฮมสเตย์เล็กๆ ที่เปลี่ยนคนแปลกหน้าให้กลายเป็นเพื่อนกัน

SME ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไรท่ามกลางสงครามการค้า

การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จุดชนวนสงครามการค้ารอบใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ดังนั้น SME ไทยจึงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง ...แล้วเราจะอยู่รอดได้อย่างไร