Finanace

3 ข้อต้องเลี่ยง ถ้าไม่อยากระดมทุน Crowdfunding แล้วล่ม








     นอกเหนือจากการไปให้ถึงยอดที่ตั้งไว้ของการระดมทุน Crowdfunding เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงแล้ว แคมเปญที่ได้เงินตามเป้าแต่ไม่สามารถทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้สนับสนุนได้ ก็ถือเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ ดังนั้นถ้าไม่อยากผิดพลาดและต้องพับเก็บแคมเปญไปควรหลีกเลี่ยงการทำ 3 เรื่อง ต่อไปนี้ 
 
     1. ไร้การตั้งต้นที่ดี
         สิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายต่อหลายแคมเปญของการทำ Crowdfunding ต้องล้มเหลวหรือเกือบไปไม่รอดก็คือ ขาดการเริ่มต้นที่ดีก่อนถึงวันเปิดตัวโปรเจ็กต์ เนื่องจากการระดมทุนผ่านมวลชนนั้นมีระยะเวลาในการดำเนินการไม่มากและต้องอาศัยความน่าสนใจของแคมเปญเป็นตัวชูโรง ซึ่งการทำหน้าเว็บไซต์หรือ Landing Page เพื่อให้ข้อมูลอธิบายถึงตัวโปรดักต์และโปรเจ็กต์ที่กำลังจะมาถึง  เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ได้รายชื่อของคนที่สนใจในตัวโครงการก่อนที่จะถึงวันเปิดตัวแคมเปญอย่างเป็นทางการ ยิ่งมีคนรับรู้ถึงตัวแคมเปญมากเท่าไรยิ่งสร้างโอกาสของการระดมทุนได้มากเท่านั้น
 
     2. มองข้ามความสำคัญของ Facebook
         แม้แพลตฟอร์มอย่าง Kickstarter และ Indiegogo จะมีผู้ชมอยู่มากมายแต่การพึ่งพาช่องทางนี้เพียงอย่างเดียวอาจตัดโอกาสการรับรู้ของผู้คนที่อยู่ทางช่องทางอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงโฆษณาบน Facebook ถือเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ ตัวอย่างเช่น แคมเปญ PEEjamas ชุดนอนฝึกการขับถ่ายสำหรับเด็ก ที่ทำการระดมทุนบนเว็บไซต์ Kickstarter ซึ่งได้เงินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 14,000 เหรียญสหรัฐก่อนกำหนดและเพิ่มขึ้นถึง 26,000 เหรียญสหรัฐหลังจากการทำโฆษณาบน Facebook ปิดท้ายด้วยยอดรวมทั้งหมดที่สูงถึง 227,469 เหรียญสหรัฐ
 
      3. ไม่คำนึงถึงรายละเอียด
          หากเจ้าของโปรเจ็กต์รายไหนมีแผนแค่ให้ได้มาซึ่งเงินระดมทุนเท่านั้นอาจจะต้องพบเจอกับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวได้ เพราะความสำเร็จของการทำแคมเปญขึ้นมาสักชิ้นนั้นไม่ได้จบที่การได้มาของตัวเงิน ดังนั้นโมเดลธุรกิจจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และต้องมีการส่งมอบสิทธิประโยชน์หรือสิ่งของตอบแทนให้กับผู้สนับสนุนอย่างที่ได้บอกไว้ไม่ว่าการระดมทุนนั้นๆ จะได้ยอดตามที่ตั้งไว้หรือเกินจำนวนไปก็ตาม ซึ่งต้องมีการตรวจสอบว่าราคาและปริมาณของรีวอร์ดที่จะส่งมอบนั้นเหมาะสมและเพียงพอต่อผู้ลงทุน มีแผนสำหรับการจัดส่ง เก็บและแพ็คสินค้า พิจารณาในเรื่องของกำไรและตั้งราคาให้กับตัวโปรดักต์ รวมถึงคำนึงในเรื่องของปริมาณการสั่งซื้อขั้นต่ำ ต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ค่าจัดส่งสินค้าและค่าธรรมเนียมการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Kickstarter และ Indiegogo คิดค่าธรรมเนียมการใช้เว็บไซต์ 5 เปอร์เซ็นต์ และค่าดำเนินการอีก 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ควรนำเข้าไปอยู่ในการตั้งเป้าหมายของการทำโปรดักต์ตั้งแต่ต้นด้วย   
 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup