Starting a Business

จากเด็กห้อง Gifted เลือกเรียนต่อในมหาลัยชีวิต เริ่มจากทุนหกร้อยต่อยอดรายได้เดือนละแสนตั้งแต่อายุ 16

Text : รัชนี พันธ์รุ่งจิตติ  Photo : กิจจา อภิชนรจเรข





     ในวัย 16 เราทำอะไรกันอยู่??


     แต่สำหรับ บิ๊ง-ภาพฟ้า พุทธรักษา ในวัย 16 ปี เธอต้องรับผิดชอบดูแลตัวเอง เมื่อหันหลังให้ใบปริญญา อาศัยฝีมือจากงานศิลปะหารายได้เลี้ยงตัวเองที่ไม่มากไม่น้อยแค่เดือนละแสน
 

    ในวันนี้หญิงสาววัย 25 ปีที่เรามาพบเติบโตขึ้น เธอพิสูจน์แล้วว่าความอดทน ความขยัน และการเรียนรู้ ไม่ทำให้ใครอดตาย  SME Startup จึงชวนคุณมาทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น
 




     หญิงสาวผู้ออกแบบทางเดินชีวิตของตนเอง


     จากเด็กที่เคยอาศัยในครอบครัวแสนอบอุ่นก็ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิต เมื่อคุณพ่อกับคุณแม่ตัดสินใจแยกทางกันเมื่อเธอเริ่มเข้าสู่มัธยมปลาย ต้องรับสายโทรศัพท์จากคุณแม่ว่า บอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว รวมทั้งสถานการณ์ทางการเงินมันไม่เหมือนเดิม


     เธอจึงหาวิธีที่จะทำให้เรียนจบม.ปลายให้เร็วที่สุดโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องจ่ายค่าเทอม ก็ไปเจอวิธีการสอบเทียบวุฒิ ม.ปลาย ลองสมัครสอบ GED (General Educational Development) เป็นการสอบเพื่อเทียบวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายตามหลักสูตรการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ก็สอบผ่านเรียบร้อย ทำให้ได้ข้ามไป 2 ปี แล้วใช้เวลาไปมุ่งติววาดรูป


     “แต่บิ๊งไม่รอบคอบ ไม่ได้ศึกษาว่าการสอบ GED นั้นจะต้องไปเรียนต่อหลักสูตรอินเตอร์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแพงมาก ไปหาหนังสืออ่านว่าเด็กฝรั่งที่ไม่เรียนมหาวิทยาลัย เขาทำอะไรกัน สุดท้ายก็ได้คำตอบมาว่า ถ้าจะออกมาเรียนเองต้องมีความรับผิดชอบสูงมาก ก็เลยพยายามฝึกนิสัยตัวเองใหม่ และตัดสินใจว่าจะไม่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย”

 



     ทำในสิ่งที่ถนัด


     เมื่อตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อ บิ๊งจึงเริ่มต้นมองหาอาชีพ จึงพิจารณาจากสิ่งที่ตัวเองชอบ


     “เป็นคนที่ทำอะไรก็อยากจะไปให้สุดในทุกๆ อย่าง ตอนเรียนก็อยากเป็นหมอเพราะบิ๊งเรียนห้อง Gifted แต่สอบได้ประมาณที่ 20 จาก 40 คนก็รู้สึกว่ามันไปดีได้ไม่สุด ไม่ได้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด ใช้เวลาตกตะกอนจนทำให้รู้ว่า ที่เราสนใจนั่นคือมิติของภาพ เวลาที่บิ๊งเลกเชอร์ จะจดเป็นรูปภาพหมดเลย คือเป็นคนที่จดจำ สื่อสารได้ดีด้วยรูปภาพ ก็เลยคิดว่าจริงๆ แล้วเราอาจจะซึมซับทางนี้มาจากการที่เราโตมาในครอบครัวศิลปะ คือ คุณพ่อคุณแม่ คุณตาคุณยาย จบจากศิลปากรมากันหมดเลย”
 

     ถึงจะตัดสินใจไม่เรียนต่อแต่ก็ไม่อยากให้ทางบ้านรู้ ในวันที่ต้องไปโรงเรียนเธอก็แต่งชุดนักเรียนไปฝึกวาดรูปที่ TCDC ทำอย่างนั้นอยู่เกือบปีก็มาความแตก เมื่อไม่สบายก็นั่งรถกลับบ้านแล้วพบแม่อยู่ที่บ้าน จึงได้เปิดอกคุยกัน


     “แม่ถามว่าจะเอาเงินที่ไหนใช้ โตขึ้นจะทำอะไร บิ๊งก็ปากไวบอกว่าเดี๋ยวจะไม่ขอเงินแล้วสักบาท ไม่ต้องให้ค่าขนมบิ๊งนะแต่ขออยู่บ้านนี้ไปก่อน”
 


 

     เริ่มจากทุน 600 บาท


     ถึงจะตอบแม่ไปอย่างมั่นใจแต่บิ๊งสารภาพว่าตอนนั้นเธอไม่มีแผนในใจ นอกจากมีเงินเก็บอยู่ในบัญชี 1,600 บาท แล้วก็เบิกเอาเงิน 600 บาทไปซื้อเคสโทรศัพท์มือถือที่เสือป่า คิดว่าถ้าจะขายอะไรสักอย่างต้องเป็นของที่ติดมือทุกคน แล้วก็คงดีถ้าเราจะมีเคสเป็นของตัวเองอันเดียวในโลก เลยเพนต์เคสขายตั้งแต่วันนั้น


     “เริ่มจากทำให้เพื่อนในห้องก่อน จากนั้นก็ปากต่อปากมันเร็วมากบวกกับโซเชียลฯ ก็มีคนติดตามอินสตาแกรมเพิ่มขึ้นประมาณ 50,000 ภายใน 1 เดือน ซึ่งถือว่าเยอะมากในตอนนั้น เดือนแรกหาเงินได้ 1 แสนบาท นอนวันละ 3 ชั่วโมง เงินที่ได้มาเก็บอย่างเดียว แล้วก็เริ่มจากซื้อข้าวมากินที่บ้านเอง ลองใช้เงินใช้ชีวิตของเราเอง จากนั้นเริ่มหาข้อมูลเรื่องเสียภาษีเพราะมีรายได้แล้ว เคยอ่านเจอว่าคนที่เป็นแม่ค้าแผงลอยขายของได้เงินเยอะมากแต่โดนตรวจสอบภาษีย้อนหลังจนเจ๊งเลย บิ๊งก็กลัวเลยเริ่มเข้าไปที่สรรพากรเสียภาษีตั้งแต่อายุ 17 ปี”
 
 
     คิดโปรดักต์ใหม่


     จากที่ต้องออกไปตระเวนขายเคสมือถือตามตลาดรถไฟต้องกลับบ้านดึกดื่นเที่ยงคืน ทำให้สาวน้อยคนนี้รู้สึกเกรงใจคนที่บ้าน จึงขอย้ายตัวเองออกไปอยู่ข้างนอก


     “ดูแล้วว่าส่วนใหญ่ซัพพลายเออร์ของเราอยู่ฝั่งธนบุรี เป็นที่ที่เราต้องไปซื้อผ้าซื้อเคสก็เลยเจอคอนโดมิเนียม ติด BTS วงเวียนใหญ่เดือนละ 15,000 บาท ระหว่างทางวิ่งก็คิดโปรดักต์ใหม่ไปเรื่อยๆ เช่น ผ้าพันคอ ระหว่างนั้นได้ฝึกวาดรูปเพิ่มไปด้วย ก็มีความคิดประมาณนั้นว่าหาเงินได้แล้วไม่จำเป็นต้องเรียนมหาวิทยาลัย คือเราจะเลือกเรียนในวิธีแบบไหนที่ไม่ต้องเอาตัวไปผูกติดกับ 4 ปี ก็เลยเรียนคอร์สสั้นๆ มาเรื่อยๆ เช่น ลงคอร์สทำกระเป๋าหนัง ออกแบบสิ่งพิมพ์ คือเลือกเรียนทักษะที่จะเอามาใช้ในการหาเงิน แต่ไม่ได้หวังปริญญา”


     จากที่ทำเพนต์เคสมือถือขาย บิ๊งก็ต่อยอดรับวาดรูป ถ่ายภาพ และกลายเป็น Influencer ที่มีแบรนด์ต่างๆ อยากได้ไปร่วมงาน


     “มาจากที่เริ่มขายมือถือมีคนติดตามเยอะขึ้น ไม่ใช่แค่ติดตามผลงานเราอย่างเดียว แต่จะดูว่าช่วงนี้บิ๊งทำสีผมอะไร แต่งหน้าลุคไหน แต่งตัวยังไง มันกลายเป็นตัวเราบวกกับงาน เลยเริ่มมีแบรนด์ต่างๆ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ ส่วนใหญ่จะรีวิวเกี่ยวกับอุปกรณ์ศิลปะ ไอที กล้อง เสื้อผ้า แฟชั่น และจากเดิมที่เคยขายของชิ้นใหญ่ที่ราคาสูง ก็คิดว่าเราจะขายอะไรที่ให้เข้าถึงคนได้ง่ายในราคาที่ต่ำลงแต่ยังคงใช้ฝีมือเราอยู่ มีพี่คนหนึ่งเขาแนะนำให้ลองทำสติกเกอร์ ก็ลองวาดขายดู มีที่เป็นคาแร็กเตอร์แมวที่เก็บมาเลี้ยงชื่อปีเก้ด้วย”


     เมื่อต้องทำงานและใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว บิ๊งย้ำว่า การสำรองเงินเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีรายจ่ายอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีรายได้ แต่บางครั้งบริษัทไม่ได้จ่ายเงินตรงตามเทอม
 




     เป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่


     จากวันที่เริ่มต้นด้วยเงินพันกว่าบาท บิ๊งบอกว่ามาถึงวันนี้เขาก็ได้ทำในสิ่งที่อยากทำหลายอย่างๆ แล้ว


     “ก่อนหน้านี้มีความฝันว่าอยากร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ ที่ชื่นชอบ ก่อนอายุ 30 ปี ซึ่งก็ได้ทำแล้วกับ Apple, Dr. Martens และ Leica แล้วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เหมือนเป้าหมายมันหายไป แล้วก็มาเจอโควิด-19 อีกก็เลยเคว้งไปหมด แต่ว่าพอช่วงหลังๆ มาได้อยู่ใกล้ๆ กับคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อาจจะเป็นแค่การที่เรามีความสุขกับการที่ทำแค่นั้นก็พอแล้ว ก็เลยคิดว่าเป้าหมายตอนนี้น่าจะเป็นการวาดรูปยังไงก็ได้ให้ตัวเองพอใจในผลงานแล้วมีความสุข”  
 

     สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นแต่ไม่กล้า เธอแนะนำว่า อยากทำอะไรให้ทำเลยตราบใดที่ไม่เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น คิดแล้วทำเลย


     “ถ้าเป็นอะไรระยะไกลบิ๊งจะปักเอาไว้ในใจแต่อะไรที่ทำได้ในระยะใกล้ก็จะทำรีบทำ ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนไม่อย่างนั้นไฟมันจะมอดได้ เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราทำในวันนี้อาจจะทำให้เราเก่งขึ้นในวันข้างหน้าก็ได้ เชื่อว่าถ้าตั้งใจแล้วไม่ว่าอะไรก็จะทำได้ดี อยู่ที่ชั่วโมงบินที่ฝึกฝนว่าเราให้ใจกับมันแค่ไหน”
 

     “ทุกวันนี้พอใจกับวิธีคิดและการใช้ชีวิตของตัวเอง บิ๊งไม่เคยเสียดายเลยที่ไม่ได้เรียนต่อปริญญาตรี เพราะชอบที่ตัวเองมีประสบการณ์ทั้งดีและแย่ที่ทำให้เป็นเราในตอนนี้ มีช่วงที่เวลาคนมาถามว่าจบที่ไหนมา จะไม่ค่อยกล้าสบตารู้สึกอายๆ เพราะว่าเราโตมาในสังคมที่ถูกปลูกฝังว่าปริญญาเป็นทุกอย่างของคำว่าประสบความสำเร็จ มันเลยทำให้บิ๊งดูเป็นเด็กเกเรหรือเปล่าในสายตาคนอื่น แต่พอวันหนึ่งที่เราทำอะไรอยู่ในลู่ทางที่ตั้งใจแล้วทำได้ดี ความภูมิใจมันเกิดขึ้นมาเลยกล้าสบตาแล้วกล้าตอบกลับกับทุกคนที่ถามว่าเราไม่ได้เรียนแต่ทำงานอย่างนี้ แล้วก็เคยมีที่คิดในจุดว่าถ้าไม่มีปริญญาแล้วอนาคตจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดแล้วเพราะรู้แล้วว่าถ้าเรามีฝีมือประสบการณ์ขยันหาความรู้ใหม่ๆ ให้ตัวเอง เราจะไม่อดตาย แล้วตอนนี้ผ่านมาแล้ว 9 ปี หาเลี้ยงด้วยตัวเองมาตลอด แล้วตอนนี้บิ๊งยังต้องช่วยดูแลครอบครัวด้วย”

 
 www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup