Starting a Business

clothesfriend.co แบรนด์ไหมพรมสุดชิคที่เริ่มต้นตั้งแต่มหาลัย ขายดีได้เพราะฟังเสียงลูกค้าจนยอดขายแตะหลักแสน!

 

Text : Yuwadi.s

     เพราะการทำแบรนด์เสื้อผ้าคือความฝันของใครหลายคน แต่การจะทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งธุรกิจที่เต็มไปด้วยคู่แข่งอย่างธุรกิจสายแฟชั่นแบบนี้ ยิ่งต้องมีกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้า อย่างแบรนด์ clothesfriend.co ที่ใช้วิธีการฟังเสียงของลูกค้าว่าความจริงพวกเขาต้องการอะไรเพื่อใช้ในการเฟ้นหาสิ่งที่ตรงใจลูกค้าได้มากที่สุด จนกลายเป็นแบรนด์ไหมพรมสุดชิคหลากสีสัน ที่มีความสดใสไม่เหมือนใคร แถมยังสร้างรายได้แตะหลักแสนบาท ที่สำคัญเจ้าของแบรนด์ยังเก่งและปั้นธุรกิจมาตั้งแต่ตอนปี 3 กับ พรีม - พลอยจันทร์ สุดแสวง โดยเธอจะมาแชร์สตอรี่ของธุรกิจนี้ให้ฟัง

เมื่อเด็กปี 3 ลุกขึ้นมาทำธุรกิจ

     โดยพรีมได้เล่าย้อนไปถึงช่วงเริ่มต้นการทำธุรกิจให้ฟังว่าเริ่มในช่วงที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ตอนนั้นเป็นช่วงโควิด เธอได้แรงผลักดันจากคุณแม่ให้ลองทำอะไรสักอย่างดูและสายแฟชั่นเป็นทางที่เธอชอบ เธอจึงเริ่มต้นการสั่งเสื้อผ้าจากจีนมาขาย แม้ตอนแรกจะขายได้แค่เดือนละ 1-2 ตัว แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอค้นพบว่านี่แหละคืองานที่ใช่

     “ตอนนั้นเราเรียนปี 3 แล้วโควิดมาพอดี คุณแม่ก็มองว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้ลองผิดลองถูก มันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเรียนจบ เพราะถ้าเราเรียนจบก็จะไม่ได้เงินจากพ่อแม่แล้ว ถ้าอยากจะทำอะไร ก็ทำตอนนี้ จะได้ล้มบนฟูก แล้วเราก็กำลังจะทำพอร์ตโฟลิโอ ยื่นฝึกงาน เราอยากเข้าทำงานที่ Pomelo เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรากล้าทำธุรกิจ ตอนแรกเราซื้อของมาจากจีนมาสต๊อก แม่ให้ทุนมาหมื่นห้า เราก็ใช้เวลาขายของที่มีอยู่ 6 เดือนถึงจะได้ทุนคืนมาหมื่นห้า อดทนมาก ขายได้แค่เดือนละไม่กี่ชิ้น ตอนนั้นเรายังไม่ได้อะไรมากเพราะยังเรียนอยู่ แต่ก็รู้สึกว่าอยากให้ร้านโตกว่านี้ เราชอบสิ่งนี้ เหมือนได้ลองผิดลองถูก แค่ขายของได้ 1-2 ชิ้นก็ทำให้เรามีความสุขไปได้ทั้งเดือนเลย”

     หลังจากได้ทุนก้อนแรกคืนมา เธอเดินหน้าธุรกิจต่อไปแต่เปลี่ยนจากการสต๊อกของมาเป็นการพรีออเดอร์ ช่วงแรกเธอยังจับทางไม่ถูก จนกระทั่งเธอใช้วิธีการฟังเสียงลูกค้า ทำให้เธอรู้ว่าควรขายอะไรให้กับกลุ่มลูกค้าของเธอ

     “พอได้ทุนคืน เราก็ไม่อยากเอาเงินไปลงทุนสต๊อกของแล้ว ตอนนั้นเราเรียนรู้ว่าต้องรู้ให้ได้ว่าลูกค้าอยากได้อะไร ไม่ใช่เราอยากได้อะไร ตอนแรกแค่คิดว่าเสื้อผ้าสวย ลูกค้าน่าจะชอบ แต่ความจริงลูกค้าไม่ได้ชอบ เราเริ่มจากพรีออเดอร์หลายแบบทั้งเสื้อเชิร์ต กางเกง เสื้อยืด แต่เรามาสังเกตว่ามีอย่างหนึ่งที่ขายดีมากๆ ในร้านคือคาดิแกน หลังจากนั้นพอเรารู้ว่าลูกค้าชอบแนวนี้ เราเลยรีแบรนด์แล้วโปรโมตแค่ตัวนี้เลย เป็นครั้งแรกที่เราใช้เงินในการทำการตลาด เริ่มจากทวิตเตอร์ก่อน เรารู้สึกว่ามันเห็นผลมาก เพราะกลุ่มลูกค้าเราอยู่ในทวิตเตอร์แล้วเขาชอบใส่คาดิแกน นั่นคือครั้งแรกที่เราขายได้วันละ 5 ตัว จากที่เคยขายได้เดือนละ 1-2 ตัวหลังจากที่เราลองจับคาดิแกนมาแค่แบบเดียว”

ธุรกิจพลิกเมื่อขายในอีคอมเมิร์ซ

     เมื่อเธอจับทางได้แล้วว่าลูกค้าต้องการอะไรโดยใช้วิธีการฟังเสียงลูกค้า เธอก็เริ่มขายดีขึ้นจนทำการตลาดในแพลตฟอร์มต่างๆ แต่แพลตฟอร์มที่ทำให้ธุรกิจพลิกได้จนมียอดขายแตะหลักแสนตั้งแต่ปี 3 คือการพาธุรกิจเข้าสู่อีคอมเมิร์ซ โดยเธอเข้าไปขายใน Lazada

     “จุดเปลี่ยนของเราคือ Lazada เขาจะมีคนดูแลติดต่อมา ถามว่าอยากเอาของมาวางใน Lazada ไหม ถ้ามาวางก็จะให้อยู่ในรวมหมวดหมู่ร้านดังในไอจี เขาก็จะมีคูปองให้ ช่วยให้ร้านเราเติบโต เราเข้าไปครั้งแรกตอนนั้นคือ 8.8 จำได้ว่าขายได้ร้อยออเดอร์ เยอะมาก พีคมาก ตอนนั้นจับเงินแสนตั้งแต่อยู่ปี 3 แต่เป็นช่วงที่เราเริ่มพรีออเดอร์ ตอนนั้นมีอุปสรรคคือการพรีออเดอร์ปกติมันนานอยู่แล้ว พอมาโควิดก็ยิ่งนานไปอีก นานจากขนส่งทางจีนและที่ไทยด้วย ปัญหาประดังเข้ามา เราก็เครียด รู้สึกผิดกับลูกค้า แต่โชคดีที่ลูกค้าไม่วีนเลย เราก็ไม่ได้หายไปไหน ติดต่อกับลูกค้าทุกคน พิมพ์ไปหา ขอโทษกับเหตุการณ์ อัพเดตตลอด ลูกค้าก็โอเค รอได้ เข้าใจ เหตุการณ์นั้นทำให้เราแข็งแกร่งมากกว่าเดิม รู้ว่าเวลาเกิดอะไรขึ้นต้องบอกลูกค้าให้หมด ห้ามหาย”

     หลังจากอุปสรรคครั้งนั้นผ่านไป เธอได้เงินมาหนึ่งก้อนจากการขาย เธอจึงนำเอากำไรจากการขายในครั้งนั้นไปสต๊อกของเพื่อเลี่ยงปัญหา ไม่ให้ลูกค้ารอนาน หลังจากขายไปสักพัก จนเธอเรียนจบมหาลัย เธอก็ลงมือสร้างแบรนด์ ออกแบบและผลิตเสื้อผ้า กลายเป็นสไตล์เสื้อผ้าของ clothesfriend.co ในปัจจุบัน

     “พอเราได้เงินก้อนมาก็เริ่มสต๊อกของ มันก็เร็วขึ้น ทุนจมบ้างแต่เรายอม เพราะอยากให้ลูกค้าได้ของเร็วๆ จริงๆ ความฝันเราคือการมีแบรนด์เสื้อผ้า การไปเอาของคนอื่นมาขายมันยังไม่ใช่การมีแบรนด์เสื้อผ้า แต่การที่เราออกแบบเอง มีป้าย Label ตรงคอเสื้อ มันคือความฝันของเรา พอเรียนจบ ไป Work and Travel ที่อเมริกากลับมาก็เลยเริ่มตัดสินใจลงทุน ทำคอลเลกชันของตัวเอง ถ่าย Photoshoot จ้างนางแบบ รีแบรนด์เปลี่ยนโลโก้ จุดเด่นของเราจะเป็นไหมพรม สีสันสดใส ไม่ได้ดีเทลเยอะแต่เน้นที่สีสัน”

     สำหรับการทำการตลาด ทางแบรนด์จะเน้นการเข้าไปอยู่ในสายตาลูกค้าในทุกแพลตฟอร์มเพราะพรีมเล่าว่า Customer Journey มีความสวิงสูงมาก จึงต้องเข้าไปทำการตลาดในทุกๆ ช่องทาง

     “ในไอจีเราเหมือนเป็นแคตตาล็อกให้ลูกค้าดูง่ายๆ แต่ขายจริงๆ จะอยู่ใน Lazada ผู้บริโภคสมัยนี้ Customer Journey จะสวิงมาก อาจจะดูในไอจี แล้วดูต่อในยูทูปว่าชอบไหม แล้วอาจจะไปดูในทวิตเตอร์กว่าจะตัดสินใจซื้อทีดูหลายช่องทาง เราเลยต้องไปทำการตลาดหลายๆ ที่ให้เขาเห็นเยอะๆ”

     โดยเธอได้ปิดท้ายถึงหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจให้ฟังว่าสิ่งสำคัญคือการฟังลูกค้าและความจริงใจกับลูกค้า มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นต้องบอก ทั้งเรื่องดีและไม่ดี

     “เมื่อก่อนเราไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดว่าฟังลูกค้า ก็เราอยากขาย คิดว่ามันสวย ลูกค้าต้องอยากซื้อ แต่พอเราถามความจริงว่าลูกค้าอยากได้อะไร มันส่งผลมาก และเวลาที่มีปัญหาอะไร ให้จริงใจกับลูกค้า บอกเขา เพราะร้านเราคือ clothesfriend (Close friend) เราอยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งจริงๆ มีอะไรที่ดีก็บอก ไม่ดีก็บอกและเราโชคดีที่ลูกค้าร้านเราน่ารักมาก”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup