Starting a Business

“ฉันจะผอม” ร้านข้าวกล่องสายคลีนของพนักงานออฟฟิศ ที่ลาออกมาปั้นธุรกิจจนติดปีกยอดขายได้หลักแสน!

 

Text : Yuwadi.s

     จากเจ้าของเพจที่อยากลดน้ำหนักหลังจากไปดูคอนเสิร์ต Winner และสัญญากับตัวเองว่าจะผอมก่อนคอนเสิร์ตหน้าสู่เจ้าของธุรกิจข้าวกล่องสายคลีนที่หยิบเอาความรู้ด้านโภชนาการมาใช้ทำอาหารสุขภาพแสนอร่อย จนสามารถสร้างรายได้แตะหลักแสนกับ อุ้ย-อันน์นา พิพัฒน์อัศม์เดช อดีตพนักงานออฟฟิศสายโรงแรม ที่เริ่มต้นจากการทำอาหารคลีนกินเองเพราะอยากลดน้ำหนัก ก่อนจะต่อยอดสู่ธุรกิจเสริมเล็กๆ แต่ไปๆ มาๆ ธุรกิจเสริมดันสร้างรายได้มากกว่างานประจำหลายเท่าตัว เธอจึงตัดสินใจลาออกมาปั้นธุรกิจอย่างจริงจังแถมยังปังไม่หยุด สร้างรายได้สูงสุดถึง 3 แสนบาททีเดียว!

ร้านข้าวกล่องคลีน อาชีพเสริมหลักแสน

     โดยอุ้ยได้เล่าย้อนไปในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจข้าวกล่องว่ามาจากการที่เธออยากลดน้ำหนัก เธอจึงทำข้าวกล่องกินเอง แต่มีพี่ออฟฟิศเริ่มซื้อวัตถุดิบมาให้เธอทำข้าวกล่องให้กิน จึงใช้โอกาสนี้ต่อยอดเป็นร้านข้าวกล่องเล็กๆ คู่กับการทำงานประจำ

      “อุ้ยทำงานประจำ อยู่ฝ่ายการตลาดของโรงแรม ช่วงนั้นเราหนักประมาณ 140-150 กิโลกรัม แล้วอยากลดน้ำหนัก ก็คิดว่าต้องเริ่มจากการปรับการกินก่อน ง่ายสุด เราก็ปรับ ทำข้าวกล่องไปกินที่ทำงานทุกวัน เริ่มเห็นผล ตัวเล็กลง น้ำหนักหายไป 50-60 กิโลกรัม พี่ที่ออฟฟิศก็เลยบอกทำขายดูไหม เราก็เริ่มทำให้พี่ที่ออฟฟิศก่อน จากนั้นเขาก็แนะนำเพื่อนให้มาผูกปิ่นโตกับเรา ตอนเริ่มทำลูกค้าจะเป็นเพื่อน เพื่อนของเพื่อน และมีคนในกลุ่มที่ชอบดูแลสุขภาพ กลุ่มแบ่งปันอาหารคลีน ตอนนั้นเรายังไม่ได้ทำเพจ แต่จะเป็นเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เริ่มจากเล็กๆ ขายจันทร์ถึงศุกร์ วันละ 10-20 กล่อง”

     หลังจากที่ทำข้าวกล่องคู่งานประจำได้ประมาณ 2 ปี รายได้เสริมเริ่มเพิ่มขึ้นแตะแสนบาท แถมยังมีแนวโน้มที่โตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอมองเห็นโอกาสของการทำธุรกิจจริงจัง อุ้ยจึงตัดสินใจลาออกและขยายธุรกิจ พร้อมสร้างเพจเพื่อเพิ่มฐานลูกค้า

     “เราทำข้าวกล่องคู่กับงานประจำ 2 เกือบ 3 ปี ตอนนั้นก็ส่งข้าวก่อนไปทำงาน ตื่นตี 3 ไปตลาด ซื้อของ ทำอาหาร มาดรอปไว้ข้างล่างคอนโด เรียกแกรปไปส่งแต่ละที่ ทำทุกวัน พอ 8 โมงก็ไปทำงาน จนจุดที่รายได้มันเริ่มนิ่งและมากกว่าเงินเดือน ตอนแรกคิดว่ารายได้มันเยอะแค่ช่วงหนึ่งหรือเปล่า คนกินตามกระแสหรือเปล่า จนช่วงที่โควิด เราทำงานที่บ้าน แล้วมันมีช่วงเวลาให้เราทำอะไรได้เยอะขึ้น รายได้ก็อยู่ตัว พอกลับไปทำงานออฟฟิศ ค่าใช้จ่ายในการทำงานมันเยอะ แล้วงานเสริมเราได้มากกว่าเงินเดือน ค่าเฉลี่ยมันก็โตขึ้นเรื่อยๆ สมมติเดือนนั้นขายได้แสนหนึ่ง หักนู่นนี่ก็เหลือ 50-60% มันอยู่ได้ เลยคิดว่ามันถึงจุดที่เราลาออกได้และเพจเราก็เริ่มมีคนตามแสนคน รายได้ก็เข้ามาเยอะ ลูกค้าก็เยอะขึ้น”

เปลี่ยนภาพจำอาหารคลีนที่มีแต่อกไก่

     สำหรับจุดเด่นของร้าน “ฉันจะผอม Homemadebyaui” คือการปรับภาพลักษณ์อาหารคลีนที่มีแต่อกไก่กับไข่ต้ม ให้กลายเป็นข้าวกล่องเพื่อสุขภาพแสนอร่อย เพราะอาหารอร่อยนอกจากจะทำให้ร่างกายเฮลตี้แล้วยังมีผลดีต่อจิตใจด้วย

     “อาหารคลีนเราจะไม่ได้มีแค่อกไก่ ตัวเราเป็นคนที่ลดน้ำหนักแต่ไม่ได้อยากลดเพื่อผอม เราอยากสุขภาพดี และการจะมีสุขภาพดีมันคือการกินอาหารเพื่อสุขภาพระยะยาว คนกินอาหารคลีน บางทีจะคิดถึงแค่อกไก่ ไข่ต้ม มันแข็ง ไม่อร่อย แต่เราจะไม่ได้มีแค่อกไก่ เราทำอาหารเหมือนอาหารทั่วไป แค่ปรับวัตถุดิบ เครื่องปรุง คุมปริมาณแคลอรี่ อาหารมันไม่ได้ตอบสนองด้านความอิ่มอย่างเดียว มันตอบสนองด้านจิตใจด้วย ของร้านเราจะมีผูกปิ่นโตรายเดือน 2 แบบ ทั่วไปกับพรีเมี่ยม ทั่วไป หลักๆ จะเป็นไก่ แต่เราใช้สันในไก่ ส่วนพรีเมี่ยม ไก่จะน้อย เน้น ปลาแซลมอน กุ้ง หมู”

     อีกหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้ร้านข้าวกล่องของอุ้ยมีลูกค้าอย่างล้นหลาม นั่นคือการทำการตลาดที่เน้นการให้ประโยชน์กับคนอ่าน แถมยังใช้การเรียกลูกค้าด้วยภาพถ่ายสวยๆ น่ากิน

      “เราจะโปรโมตในเพจและกลุ่มต่างๆ บางทีเราทำการตลาด ไม่ใช่แค่การขายอย่างเดียว แต่การทำคอนเทนต์ เราต้องคิดว่าเราให้อะไรกับคนอื่นบ้าง เขาถึงจะมองเห็นเรา ถ้าเขาได้ประโยชน์จากเรา เขาก็จะติดตามเรา เราเองชอบทำงานบ้าน ชอบทำอาหาร เราแบ่งปันตรงนี้ให้ลูกค้ารู้ว่า เราทำอาหารเองนะ ทำตรงไหน ทำยังไง ให้รู้ถึงเราไปตลาด ซื้อร้านนี้นะ เตรียมของแบบนี้ มันก็จะได้ความเชื่อใจ อีกอย่างคือเรื่องความประทับใจแรกพบสำคัญมาก เหมือนเราเจอคนที่สวยหล่อ เราก็หันมอง การที่เขาเจอรูปที่น่ากิน บางทีไม่รู้หรอก อร่อยหรือไม่อร่อย แต่อยากกิน อยากซื้อ หลังจากนั้นก็พิสูจน์ฝีมือแล้วว่าเราจะดึงลูกค้าไว้ได้ไหม อร่อยจริงหรือเปล่า การถ่ายรูป เราจะไม่ถ่ายเมนูเดียว เราจะถ่ายหลายๆ กล่อง ทำให้ลูกค้าเห็นว่าทุกกล่องหน้าตาเหมือนกันนะ ไม่ได้สวยแค่กล่องที่เอามาถ่ายรูป”

     โดยอุ้ยได้ปิดท้ายถึงหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจนี้ให้ฟังว่าอยู่ที่ความใส่ใจลูกค้า อย่ารอให้ถึงวันที่พร้อมแล้วค่อยลงมือทำ

     “บางทีเราคิดว่าจะทำอะไร ต้องรอให้พร้อมก่อน รอให้มีบ้านก่อน อุ้ยเริ่มต้นทำที่คอนโด อุ้ยเองยังใช้หม้อหุงข้าว 1.8 ลิตรในการทำอาหาร เราคิดว่าการเริ่มต้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องมือแพงๆ เราเริ่มจากตัวเราที่บ้าน แค่มีพื้นที่ที่สะอาด ทำให้มันดี อร่อยไม่อร่อยมันขึ้นกับจริตคนกินว่าถูกใจหรือเปล่า แค่วัตถุดิบที่ดี สะอาด ปลอดภัยก็ถือเป็นมาตรฐานที่ดีแล้ว อีกอย่างคือความใส่ใจ เราทำธุรกิจ ต้องมีความใส่ใจทุกอย่าง ปัญหามันมีอยู่แล้ว เราต้องแก้ไขและมีความรับผิดชอบ ถ้าลูกค้ามองว่าเราดี เขาก็จะบอกต่อให้เราเอง”

 

www.smethailandclub.com
ศูนย์รวมข้อมูลธุรกิจ Startup